mario-bros-340x425

ถือเป็นอีกหนึ่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เมื่อ Hiroshi Yamauchi ผู้บริหารสูงสุดของ Nintendo ที่อยู่ในตำแหน่งมากว่า 50 ปีได้จากไปด้วยวัย 85 ปีในวันที่ 19 กันยายน 2556 ที่่ผ่านมาด้วยโรคปอด แต่เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งคน รวมถึงบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่เขาได้สร้างไว้ เรามาทำความรู้จักกับ Nintendo บริษัทเกมจากแดนญี่ปุ่นที่ทั้งโลกยกย่องกันครับ

Nintendo2

เหล่าตัวละครดังของ Nintendo (ภาพประกอบจาก Play Better & Junk)

หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อว่าจริงๆ แล้วประวัติศาสตร์ของ Nintendo นั้นย้อนกลับไปถึงปี 1889 (พ.ศ. 2432) ซึ่งในตอนนั้นบริษัทมีชื่อว่า “Nintendo Koppei” ก่อตั้งโดย Fusajiro Yamauchi เพื่อจำหน่ายการ์ด Hanafuda ซึ่งเป็นการ์ดสำหรับใช้เล่นเกมต่างๆ ซึ่งก็คล้ายกับไพ่มาตรฐาน 52 ใบที่เราคุ้นกันในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งชื่อบริษัท Nintendo นั้นคาดกันว่ามาจากคำว่า Nintendou ซึ่งแปลว่า “ปล่อยให้เรื่องของโชคขึ้นกับสวรรค์เบื้องบน”

miyako1

การ์ด Hanafuda (ภาพประกอบจาก Japanese-games-shop.com)

หลังจากที่บริษัทได้ผลิตและจำหน่ายการ์ด Hanafuda มาหลายสิบปี จุดเปลี่ยนของบริษัทก็เริ่มต้นขึ้นในปี 1953 (พ.ศ.2496) ซึ่งเป็นยุคที่หลานของ Fusajiro ที่ชื่อว่า Hiroshi Yamauchi ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทนี้ต่อ ซึ่งบริษัทก็ได้เริ่มจำหน่ายการ์ดในรูปแบบพลาสติคเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น

LZWJ

Hiroshi Yamauchi (ภาพประกอบจาก Play4Real)

นวัตกรรมในการผลิตการ์ดพลาสติคนี้ได้สร้างความนิยมไปอย่างกว้างขวางและทำให้ Nintendo ได้กลายเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ต่อมาในปี 1956 (พ.ศ.2499) Hiroshi ได้เดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีโอกาสเริ่มทบทวนถึงธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายการ์ดที่ทำอยู่ ต่อมาเขาจึงได้พบกับผู้รับจ้างผลิตการ์ดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเองและเขาก็ได้พบว่าอุตสาหกรรมนี้มันเล็กและมีข้อจำกัดมากเกินไป

จุดเปลี่ยนที่เริ่มเห็นชัดขึ้นตามมาในปี 1959 (พ.ศ.2502) เมื่อ Hiroshi ได้ลงนามในสัญญากับ Disney ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการพิมพ์ลายการ์ตูนของ Disney ลงบนการ์ดเพื่อจัดจำหน่ายไปทั่วโลก ซึ่งในขณะนั้นเอง การ์ดที่ Nintendo ผลิตมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการพนัน

Disney_2

การ์ดที่พิมพ์ลายการ์ตูนจาก Disney (ภาพประกอบจาก Nintendo.wikia.com)

จากการที่ Nintendo ได้รุกตลาดร่วมกับ Disney ทำให้บริษัทได้ก้าวเข้าไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ที่เด็กลงมาก บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่นั่นก็คือ หนังสือคู่มือที่อธิบายวิธีการเล่นการ์ดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยในปีแรกเพียงปีเดียว บริษัทสามารถขายการ์ดนี้ได้ถึง 600,000 ชุด และความสำเร็จนี้เป็นตัวผลักดันให้บริษัทก้าวเข้าสู่ความเป็นบริษัทมหาชนในปี 1962 (พ.ศ.2505)

การเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทำให้บริษัทมีเงินทุนอย่างเป็นกอบเป็นกำในการขยายกิจการ แต่การขยายกิจการของ Nintendo นั้นออกจะประหลาดสักหน่อย เพราะธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทเลือกเปิดได้แก่ บริษัทรถแท็กซี่, โรงแรมสำหรับพักชั่วคราว, บริษัทข้าว, บริษัทผลิตเครื่องดูดฝุ่น รวมไปถึงบริษัทผลิตของเล่น

2010-02-8

บริษัทให้บริการแท็กซี่ของ Nintendo (ภาพประกอบจาก Learn Something Every Day)

เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก บริษัทลูกส่วนใหญ่ก็ไปไม่รอด ยกเว้นก็เพียงบริษัทผลิตของเล่นที่ดูจะมีอนาคตมากที่สุด ซึ่งต่อมาในปี 1965 (พ.ศ. 2508) บริษัทได้จ้างวิศวกรคนหนึ่งชื่อว่า Gunpei Yokoi เข้ามาเป็นวิศวกรที่ดูแลรักษาอุปกรณ์และระบบของบริษัท และเขาผู้นี้นี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Nintendo

Gunpei_Yokoi

Gunpei Yokoi (ภาพประกอบจาก Wikipedia)

ในปี 1970 (พ.ศ.2513) ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาสภาพหนี้สินและกำลังดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดในอุตสาหกรรมของเล่นอยู่นั้น ในขณะที่ Hiroshi กำลังเดินสายตรวจโรงงานที่ Hanafuda เขาก็ได้เห็นตอนที่ Gunpei Yokoi กำลังเล่นกับของเล่นที่คล้ายกับแขนที่ยืดออกไปได้ เขาเกิดความสนใจในทันทีและตัดสินใจที่จะเสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งเขาได้ขอให้ Gunpei พัฒนาของเล่นชิ้นนี้ต่อให้สามารถกลายเป็นสินค้าที่วางจำหน่ายได้ พร้อมตั้งชื่อมันว่า “Ultra Hand”

ultrahand

Ultra Hand ของเล่นที่ริเริ่มโดย Gunpei Yokoi (ภาพประกอบจาก Gamemories)

Ultra Hand สามารถทำยอดขายได้ถึง 1 ล้านชิ้นและทำให้ Gunpei ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่ง Gunpei ได้กลายเป็นพนักงานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและอยู่เบื้องหลังสินค้าจำนวนมากของ Nintendo และถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ เพราะในขณะนั้นมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ผลิตของเล่นที่โดดเด่นแบบนี้ ซึ่งด้วยจำนวนคู่แข่งที่น้อย ทำให้บริษัทสามารถตั้งราคาสูงและสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ในช่วงเวลานี้เอง Nintendo ได้เริ่มหันมาให้ความสนใจในวิดีโอเกม และเริ่มต้นโดยการเป็นผู้จัดจำหน่าย Magnavox Odyssey ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Magnavox Odyssey ถือได้ว่าเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรกของโลกทีเดียว

Magnavox-Odyssey-Console-Set

Magnavox Odyssey (ภาพประกอบจาก Wikipedia)

หลังจากที่ Nintendo ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการเป็นตัวแทนจำหน่าย บริษัทก็ตัดสินใจที่จะเริ่มพัฒนาเกมให้กับเครื่องเล่นต่าง ซึ่งเกทแรกที่เริ่มวางจำหน่ายในปี 1975 (พ.ศ. 2518) มีชื่อว่า EVR Race ก่อนที่จะตามมาติดๆ ด้วยเกมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเกมหนึ่งอย่าง Donkey Kong

slide003

EVR Race (ภาพประกอบจาก Nintendo)

Donkey Kong ซึ่งพัฒนาโดย Shigeru Miyamoto (ซึ่งเป็นพนักงานดาวรุ่งอีกหนึ่งคนของบริษัท) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและได้ถูกพัฒนาให้เครื่องเล่นหลายๆ รุ่น รวมถึง Atari 2600, Intellivision และ ColecoVision ซึ่งในขณะเดียวกันนี้ บริษัทก็ได้ริเริ่มพัฒนาเครื่องเล่นพกพา เช่น  Game & Watch ซึ่งถึอได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Game Boy ที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง

Game_and_watch_parachute

Game & Watch (ภาพประกอบจาก Wikipedia)

หลังจากที่ผ่านไปได้ไม่นานนัก บริษัทก็เริ่มต้องการขยับไปอีกขั้นให้มากกว่าแค่การพัฒนาเกม จึงเป็นที่มาของการเริ่มผลิตตัวเครื่องเล่นเกมของตัวเองขึ้นในปี 1983 (พ.ศ. 2526) ซึ่งเครื่องเล่นเกมรุ่นแรกของบริษัทก็คือ “Famicom” (ย่อมาจาก Family Computer) ซึ่งวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

SONY DSC

เครื่องเล่นเกม Famicom (ภาพประกอบจาก Wikipedia)

Famicom ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามด้วยตัวเลขร่วม 500,000 เครื่องภายในเวลาเพียง 2 เดือน แต่บริษัทก็พบว่ามีลูกค้าจำนวนมากร้องเรียนเข้ามาเรื่องเครื่องเล่นมีอาการค้าง ซึ่งต่อมาบริษัทก็พบว่าปัญหามาจากชิปที่ใช้ประมวลผลทำให้บริษัทต้องเรียกสินค้าที่ยังไม่ถูกจำหน่ายคืนทั้งหมด และบริษัทก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการขอเป็นพันธมิตรกับบริษัท Atari แต่ในปีนั้น ญี่ปุ่นก็เผชิญกับปัญหา Video Game Crash หรือวิกฤติของอุตสาหกรรมวิดีโอเกม อันเนื่องมาจากการอิ่มตัวของตลาดและคุณภาพของเกมในตลาดที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการแข่งขันจากเกมบนคอมพิวเตอร์ด้วย

ในปี 1985 (พ.ศ. 2528) บริษัทได้เดินหน้ากับอีกหนึ่งก้าวสำคัญ นั่นคือการวางจำหน่ายเครื่อง Famicom ทั่วโลก โดยในครั้งนี้ เครื่อง Famicom ถูกปรับแก้ในจุดที่เคยบกพร่องซึ่งรวมถึงปัญหาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ด้วย พร้อมกับปรับรูปแบบของตัวเครื่องและเปลี่ยนชื่อเป็น Nintendo Entertainment System หรือ NES และเพื่อป้องกันวิกฤติแบบเดิม Nintendo ได้สร้างข้อจำกัดเรื่องจำนวนเกมที่ผลิต รวมไปถึงการควบคุมบริษัทผู้พัฒนาเกมที่จะมีส่วนร่วมด้วย

slide3

Nintendo Entertainment System (ภาพประกอบจาก BusinessWeek)

ในปีเดียวกันกับการเปิดตัว NES บริษัทยังได้เปิดตัวเกมใหม่ที่มีชื่อว่า Super Mario Bros ที่กลายเป็นตำนานอีกหน้าของโลกเทคโนโลยีและโลกบันเทิงด้วย

2362268nes_supermariobros_eu

เกม Super Mario Bros (ภาพประกอบจาก The Industry Hotspot)

หลังจากนั้นเป็นต้นมา Nintendo ก็ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและบุกทั้งตลาดเครื่องเล่นคอนโซลและแบบพกพาและกลายเป็นหนึ่งในผู้นำของวงการเกมของโลกได้อย่างภาคภูมิ

ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 (พ.ศ.2556) ที่ผ่านมา นิตยสาร Forbes ได้สรุปตัวเลขสำคัญๆ ของบริษัทไว้ดังนี้

  • มูลค่าบริษัทในตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 14,390 ล้านเหรียญ หรือราว 450,000 ล้านบาท
  • มีพนักงานทั้งสิ้นราว 4,900 คน
  • ถูกจัดให้อยู่ที่อันดับ 84 ของบริษัทที่เน้นนวัตกรรม (ตกลงจากอันดับที่ 45 ในปีก่อนหน้า)
  • ถูกจัดให้อยู่ที่อันดับ 40 ของแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดของโลก
  • มีเงินสดในบัญชีราว 11,600 ล้านเหรียญ หรือราว 360,000 ล้านบาท
  • มีรายได้ราว 7,820 ล้านเหรียญ 243,000 ล้านบาท
  • ในช่วงปีที่ผ่านมา การเติบโตของยอดขายลดลง 10.5%
  • ในรอบ 5 ปี ผลตอบแทนประจำปีลดลง 21.1%

นั่นหมายถึงว่าขณะนี้ Nintendo กำลังอยู่ในจุดที่ยอดขายตกต่ำและอาจจะต้องหาทางออกท่ามกลางการแข่งขันที่รุงแรงอย่างเร่งด่วน นวัตกรรมและแบรนด์ที่เคยแข็งแรงอาจจะพยุงบริษัทได้อีกสักระยะ แต่อนาคตคงไม่สวยงามนักหากบริษัทยังไม่มีแผนที่ขยับขยายหรือเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักให้ฉีกออกไปเหมือนที่ Hiroshi Yamauchi เคยทำในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ต้องมาเอาใจช่วยกันต่อไปว่า Nintendo จะก้าวต่อไปอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่สามารถ”ปล่อยให้เรื่องของโชคขึ้นกับสวรรค์เบื้องบน”ได้อย่างแน่นอน

ที่มา: Today I Found Out , Forbes

ติดตามคอลัมน์ “So Now You Know by @chyutopia” ได้ที่ thumbsup.in.th อย่างต่อเนื่อง แล้วเรื่องราวบริษัทเทคโนโลยีดีๆ ก็จะไม่ไกลตัวอีกต่อไป

I'm a big Google and Android fan who enjoys the surprises the innovations bring. My past experience includes business development in a mobile operator, an online business, a big multinational company and I'm currently working as a marketing consultant.