ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับความสำเร็จของ Starbucks ที่ทำให้เมนูคัลเลอร์ฟูลสีหวานกลายเป็นกระแสร้อนแรงบน Instagram ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ภาพถ่ายและข้อความบรรยายเกี่ยวกับรายการเครื่องดื่มที่ไม่มีในเมนูอย่าง “pink drink” นั้นเป็นเชื้อไฟชั้นยอดที่ช่วยให้แฮชแท็กซึ่งเกี่ยวข้องกับ Starbucks ได้รับการคลิกมากกว่า 1 ล้าน Like ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เครื่องดื่มสีพาสเทลแหวนแหววซึ่งไม่มีในเมนูอย่างเป็นทางการของ Starbucks กลายเป็นไวรัลที่ชาว Instagram ในสหรัฐอเมริการับรู้อย่างทั่วถึง แรกสุดคือ “pink drink” ชาอาซาอิ (acai tea) ผสมนมมะพร้าวที่ชาว Instagram แห่ไปซื้อแล้วถ่ายภาพเพื่อโพสต์ลง Instagram ซึ่งล่าสุดไม่เพียง pink แต่ชาว Instagram ตามไปซื้อทั้ง purple, blue, green และ orange แล้วโพสต์ถึงกันอย่างสนุกสนาน
ไม่เฉพาะ Instagram แต่กระแสเครื่องดื่มสีหวานยังทะลุมาถึง Twitter ด้วย ปรากฎการณ์นี้ทำให้สำนักข่าว Adweek ขอข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนโลกโซเชียลชื่อ Spredfast เพื่อประเมินว่าสถิติจากแคมเปญนี้บนเครือข่ายสังคมนั้นน่าสนใจเพียงใด
ผลคือระหว่างวันที่ 10 พฤษภาคมถึง 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ชาวโซเชียล 14,134 คนติดแท็กบนโพสต์ Instagram ด้วยคำว่า #pinkdrink ขณะที่ 1,851 รายติดว่า #purpledrink รองลงมาคือ 1,670 รายติดว่า #greendrink ส่วน #orangedrink และ #bluedrink ถูกใช้ราว 601 ครั้ง สรุปคือทั้ง 5 แฮชแท็กถูกติดบน 17,779 โพสต์
ในด้าน engagement ที่ Starbucks ได้รับ พบว่า #pinkdrink สร้างคอมเมนต์ราว 49,128 ข้อความ จากทั้งหมด 57,632 ข้อความที่ทั้ง 5 แฮชแท็กสร้างไว้ ปัจจุบัน เครื่องดื่มสีรุ้งนี้ได้รับการคลิก 1.3 ล้าน Like โดย 1.1 ล้านครั้งอยู่ที่ #pinkdrink และราว 148,000 ครั้งอยู่ที่ #purpledrink
ข้อมูลจาก Spredfast พบว่าชาวนิวยอร์กคือผู้โพสต์คอนเทนต์เกี่ยวกับน้ำสีหวานนี้มากที่สุด ตามมาด้วยชาวลอสแองเจลิส และชิคาโก
สิ่งที่สามารถสรุปได้จากข่าวนี้คือ กระแสเครื่องดื่มสีหวานบนโลกโซเชียลนั้นร้อนแรงสุดขีดในระยะแรก แล้วก็อ่อนแรงเมื่อกระแสนั้นกลายเป็นเรื่องชินตาแม้จะถูกต่อยอดให้ดูหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระแสนี้อยู่เหนือความคาดหมายของ Starbucks เพราะทีมการตลาดของแบรนด์นางเงือกเพิ่งโพสต์ภาพเครื่องดื่มสีแหววเพียง 1 ภาพบนบัญชี Instagram ทางการของบริษัทเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพนั้นได้รับ 320,000 Like และคอมเมนต์อีกมากกว่า 4,000 ข้อความ
ที่มา : Adweek