7 Day Startup

เคยมั้ย? ที่มีไอเดียธุรกิจเจ๋ง ๆ ผุดขึ้นมาในหัว แต่นั่งวางแผน เขียน Business Model Canvas ปรับแก้โลโก้ หรือรอให้ทุกอย่าง เพอร์เฟกต์ จนผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี… สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มสักที หรือพอเริ่มไปแล้วกลับพบว่าไม่มีใครต้องการสิ่งที่เราสร้างเลย

นี่คือกับดักของสิ่งที่เรียกว่า Wantrepreneur หรือคนที่ อยาก เป็นผู้ประกอบการแต่ไม่เคยได้ลงสนามจริงสักที วันนี้ Thumbsup จะพาไปอ่านแนวคิดจากหนังสือ The 7 Day Startup: You Don’t Learn Until You Launch ของ Dan Norris หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้คุณมักง่าย แต่กำลังบอกให้คุณ ฉลาดเลือก ที่จะล้มเหลวให้เร็ว หรือสำเร็จให้ไว ด้วยการขมวดกระบวนการสร้างสตาร์ทอัพทั้งหมดให้จบภายใน 7 วัน

ทำไมต้องรีบขนาดนั้น? แล้วคุณภาพมันจะได้เหรอ? ลองมาดูคำตอบกัน

7 Day Startup

เมื่อ “ยักษ์ใหญ่” ยังพ่ายเพราะขยับตัวช้า

ก่อนจะไปดูวิธีทำ เราต้องเข้าใจ Mindset ของการทำธุรกิจยุคใหม่ก่อน Dan Norris ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่เจ็บปวดแต่คลาสสิกของ Nokia

ย้อนกลับไปในปี 2014 ตอนที่ Microsoft เข้าซื้อกิจการ Nokia และ Stephen Elop ซีอีโอ Nokia ในขณะนั้น กล่าวประโยคทิ้งท้ายที่สะเทือนใจว่า “เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ไม่รู้ทำไมเราถึงแพ้” ความจริงคือ Nokia ไม่ได้ขาดแคลนไอเดีย พวกเขามีทรัพยากรล้นเหลือ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดคือ การปรับตัว ต่อการมาถึงของสมาร์ทโฟน

ในขณะที่คู่แข่งผลิต Android ราคาถูกและดีออกมาตีตลาด Nokia กลับยังยึดติดกับความสำเร็จเดิมและขยับตัวช้าเกินไป เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ไอเดียที่ถูกต้อง ต้องมาพร้อมกับจังหวะเวลาและการลงมือทำที่รวดเร็ว” การมีโปรเจกต์ที่ดีแต่ดองไว้นานเกินไปจนตลาดเปลี่ยน ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีไอเดียเลย

Business vs Startup

หลายคนสับสนระหว่างสองคำนี้ Dan Norris ชี้ให้เห็นเส้นแบ่งที่ชัดเจน

  • ธุรกิจทั่วไป: คือการทำสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะทำเงินยังไง เช่น เปิดร้านกาแฟ ซื้อแฟรนไชส์ ความเสี่ยงต่ำกว่า แต่การเติบโตก็เป็นไปตามกลไกปกติ
  • สตาร์ทอัพ: คือการสร้างสิ่งใหม่ภายใต้ความไม่แน่นอนสูง แต่มีโอกาสสร้างผลกระทบวงกว้าง

ปัญหาคือหลายคนพยายามทำ สตาร์ทอัพ ด้วยวิธีการของ ธุรกิจดั้งเดิม คือวางแผนยาวเหยียด จ้างคนเยอะแยะ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า Product นั้นจะมีคนใช้จริงไหม ทางออกของเรื่องนี้คือการเปลี่ยนโฟกัสจาก การวางแผน ไปสู่ การปล่อยของ

The 7-Day Blueprint

นี่คือหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่าไอเดียของคุณ Work หรือไม่ อย่าใช้เวลาเป็นปี ให้ใช้เวลาแค่ 7 วันตามตารางนี้

วันที่ 1: Ideation

อย่าเสียเวลาคิดไอเดียเป็นสัปดาห์ ให้เวลาตัวเองแค่วันเดียว! เลือกไอเดียที่ ทำได้จริง และคุณมีความสามารถพอจะทำมันเดี๋ยวนั้น เคล็ดลับคือมองหา Pain Point เล็ก ๆ ที่คนยอมจ่ายเงินแก้ปัญหา ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนโลกในวันแรก แต่ให้เริ่มจากสิ่งที่จับต้องได้

วันที่ 2: MVP

เมื่อได้ไอเดียแล้ว วันที่สองคือการกำหนดขอบเขตของ Minimum Viable Product หรือ MVP อะไรคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องมีเพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้? ตัดฟีเจอร์สวยหรูออกไปให้หมด โฟกัสแค่ Core Value ที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้า เขียนแผนงานออกมาว่าในอีก 5 วันที่เหลือต้องทำอะไรบ้าง

วันที่ 3: Naming

อย่าติดกับดักการตั้งชื่อที่ต้องผ่านซินแสหรือเข้าที่ประชุมบอร์ด เลือกชื่อที่จำง่าย สื่อความหมาย และดู แพง พอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบโดเมนเนมให้เรียบร้อย แล้วเคาะเลย

วันที่ 4: Landing Page

ในยุคนี้คุณไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเองทั้งหมด ใช้เครื่องมือสำเร็จรูปสร้าง Landing Page ที่มีองค์ประกอบสำคัญ เช่น Headline ที่โดนใจ, คำอธิบายที่ชัดเจนว่าขายอะไร และแบบฟอร์มเก็บข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า

วันที่ 5: Marketing & Traffic

อย่ารอให้เปิดตัวแล้วค่อยหาลูกค้า วันที่ 5 คือวันที่ต้องเริ่มโปรโมท หาช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Social Media, Community หรืออีเมลลิสต์ นำเสนอสินค้าของคุณออกไปเพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับ ถ้าเงียบกริบ แปลว่าอาจจะต้องปรับกลยุทธ์ แต่ถ้ามีคนสนใจ นั่นคือสัญญาณที่ดี

วันที่ 6: Measure & Targets

กำหนดตัวเลขความสำเร็จ กำไร คือตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในระยะยาว แต่ในช่วงทดสอบ 7 วันนี้ อาจจะดูที่ยอดลงทะเบียน หรือ Pre-order คำนวณดูว่า Business Model นี้จะคุ้มทุนเมื่อไหร่ และยั่งยืนแค่ไหนหากทำต่อ

วันที่ 7: Launch

กดปุ่ม Publish! ปล่อยสินค้าหรือบริการของคุณสู่สาธารณะ เลิกกังวลว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เพราะ Done is better than perfect การเปิดตัวจะทำให้คุณได้รับข้อมูลจริงจากตลาด ซึ่งมีค่ามากกว่าแผนธุรกิจบนกระดาษเป็นล้านเท่า

Validation = Money

บทเรียนที่ Dan Norris เน้นย้ำคือ อย่าหลงระเริงกับคำชม เพื่อนบอกว่าไอเดียดี แม่บอกว่าลูกเก่ง ไม่นับเป็นการ Validate ธุรกิจ

การ Validate ที่แท้จริงมีเพียงอย่างเดียวคือ มีคนควักกระเป๋าจ่ายเงินให้คุณหรือไม่ ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าคุณใช้เวลาสร้างผลิตภัณฑ์นานแค่ไหน หรือคุณลำบากแค่ไหน พวกเขาแคร์แค่ว่าสินค้านั้นแก้ปัญหาให้เขาได้ไหม ถ้าคุณเปิดตัวแล้วไม่มีใครซื้อ นั่นคือข้อมูลที่ล้ำค่าที่สุด เพราะมันบอกให้คุณ หยุด และ เปลี่ยน ก่อนที่จะเสียเวลาและเงินไปมากกว่านี้

Thumbsup มองว่า การทำ 7 Day Startup ไม่ใช่แค่การรีบทำฉาบฉวย แต่มันคือกระบวนการคัดกรอง ไอเดียที่ใช่ ออกจาก ไอเดียที่มโน อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณเจอสิ่งที่ตลาดต้องการแล้ว งานหนักจริง ๆ เพิ่งจะเริ่มขึ้น นั่นคือการรักษาฐานลูกค้า การพัฒนาคุณภาพ และการสร้าง Business Model ที่ทำกำไรได้จริง

ในโลกที่เทคโนโลยีหมุนเร็วและคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่ทุกวินาที ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่ใคร ฉลาด กว่ากัน แต่อยู่ที่ใคร เรียนรู้ จากตลาดได้เร็วกว่ากัน

ถ้าคุณมีไอเดียที่ดองไว้ในสมุดโน้ต ลองถามตัวเองดูว่า… ทำไมไม่เริ่มนับ วันที่ 1 ตั้งแต่วันนี้เลยล่ะ?

การเริ่มธุรกิจในยุค Digital Economy เอื้อให้เราล้มลุกคลุกคลานได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก เครื่องมืออย่าง AI, No-Code Platform หรือ Social Commerce ทำให้กรอบเวลา 7 วันของ Dan Norris เป็นไปได้จริงยิ่งกว่าตอนที่หนังสือเล่มนี้เพิ่งตีพิมพ์เสียอีก ดังนั้น เลิกกลัวความล้มเหลว เพราะในโลกของสตาร์ทอัพ ความล้มเหลวที่เร็วที่สุด คือความสำเร็จในการเรียนรู้ที่คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: