The Innovator's DNA

หลายครั้งเมื่อเรานึกถึงนวัตกรระดับโลกอย่าง Steve Jobs หรือ Jeff Bezos เรามักสรุปอย่างง่ายดายว่าพวกเขา “เกิดมาเพื่อสิ่งนี้” เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ด้านความคิดสร้างสรรค์ที่ฝังลึกอยู่ใน DNA ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถเลียนแบบได้

แต่หนังสือ “The Innovator’s DNA” โดย Clayton Christensen, Hal B. Gregersen และ Jeff Dyer นำเสนอข้อเท็จจริงที่ท้าทายความเชื่อนี้ จากการวิจัยเปรียบเทียบผู้บริหารกว่า 5,000 คน กับนวัตกรผู้ก่อตั้งบริษัทชั้นนำกว่า 500 คน พวกเขาค้นพบว่า นวัตกรรมไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นชุด “ทักษะ” ที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาได้

งานวิจัยยังสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงการศึกษาวิจัยฝาแฝด (ทั้งแฝดแท้และแฝดเทียม) ที่ครอบคลุมที่สุดชิ้นหนึ่ง พบว่า ทักษะความคิดสร้างสรรค์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมเพียงประมาณ 30% เท่านั้น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสติปัญญา (IQ) ที่พันธุกรรมมีผลสูงถึง 80-85% นี่คือข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าในโลกของนวัตกรรม “การเลี้ยงดู” (Nurture) มีอิทธิพลเหนือ “ธรรมชาติ” (Nature)

หัวใจสำคัญที่แยกระหว่างนวัตกรและผู้บริหารทั่วไปคือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า “ทักษะการค้นพบ” (Discovery Skills) ซึ่งประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลักคือ

The Innovator's DNA

1. การคิดเชื่อมโยง (Associational Thinking)

นี่คือทักษะแกนกลางของ DNA นวัตกร คือความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิด คำถาม หรือปัญหาที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยเข้าไว้ด้วยกัน นวัตกรไม่ได้คิดแบบเป็นเส้นตรง แต่มีความสามารถในการสังเคราะห์ข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้รับเข้ามา เพื่อสร้างเส้นทางใหม่ที่คนอื่นมองไม่เห็น

ปรากฏการณ์นี้ถูกอธิบายด้วย “Medici Effect” ซึ่งตั้งชื่อตามตระกูลเมดิซีในฟลอเรนซ์ ที่ได้รวบรวมผู้สร้างสรรค์จากหลากหลายสาขาวิชา ทั้งนักวิทยาศาสตร์ กวี สถาปนิก ศิลปิน และนักปรัชญา การที่คนเหล่านี้มาพบกัน ทำให้เกิดการผสมผสานแนวคิดข้ามศาสตร์ และจุดประกายให้เกิดยุคเรเนซองส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุคแห่งนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

การคิดเชื่อมโยงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจาก 4 ทักษะเชิงพฤติกรรมที่คอยป้อนวัตถุดิบใหม่ ๆ ให้กับสมอง

2. การตั้งคำถาม (Questioning)

นวัตกรมีความกระตือรือร้นในการตั้งคำ”ถาม” พวกเขาไม่เคยยอมรับ “Status Quo” หรือสิ่งที่ทำกันมาแบบเดิมๆ คำถามของพวกเขามักท้าทายสมมติฐานพื้นฐาน เช่น “ทำไมเราถึงทำสิ่งนี้ด้วยวิธีนี้?” หรือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราลองทำ…?” การตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องช่วยให้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง และมองเห็นจุดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือ “Disrupt” ได้

3. การสังเกต (Observing)

นวัตกรเป็นนักสังเกตการณ์ตัวยง พวกเขาเฝ้าดูโลกรอบตัวอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมลูกค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเทคโนโลยี โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด การสังเกตนี้ไม่ใช่การมองแบบผิวเผิน แต่เป็นการมองหา “Pain Point” และความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้า เพื่อนำมาเป็นโจทย์ในการหาวิธีแก้ปัญหา

4. การสร้างเครือข่าย (Networking)

สำหรับนวัตกร การสร้างเครือข่ายไม่ใช่แค่การพบปะผู้คนเพื่อหาคอนเนคชั่นทางธุรกิจ แต่คือการใช้เวลาและพลังงานเพื่อ “ทดสอบและค้นหาแนวคิด” ผ่านเครือข่ายผู้คนที่หลากหลาย ทั้งในด้านมุมมองและพื้นเพ พวกเขาจงใจพูดคุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานอื่น เพื่อเชื่อมโยมความรู้และขยายขอบเขตความคิดของตนเอง

5. การทดลอง (Experimenting)

นวัตกรมีส่วนร่วมในการสำรวจและทดสอบแนวคิดใหม่อยู่เสมอ พวกเขาไม่กลัวที่จะลองทำกิจกรรมใหม่ๆ ค้นหาสถานที่ใหม่ๆ หรือสร้างต้นแบบ (Prototype) เพื่อเรียนรู้สิ่งที่ไม่รู้ การทดลองเหล่านี้คือกระบวนการเก็บข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดที่เชื่อมโยงมานั้นใช้ได้ผลหรือไม่

จาก DNA สู่องค์กร 3P’s ของบริษัทนวัตกรรม

ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สำคัญต่อตัวบุคคล แต่ยังสามารถฝังเป็น DNA ขององค์กรได้ผ่านกรอบการทำงาน “3P”

  1. บุคลากร (People): องค์กรแห่งนวัตกรรมมุ่งมั่นที่จะ “จ้าง” คนที่มีทักษะการค้นพบเหล่านี้ (Questioning, Observing, Networking, Experimenting) เข้ามาในทีม ไม่ใช่แค่คนที่เก่งในการปฏิบัติงาน (Execution)
  2. กระบวนการ (Processes): วัฒนธรรมของบริษัทจะสะท้อนการกระทำของผู้นำ โดยมีการวาง “กระบวนการ” ที่ส่งเสริมให้พนักงานใช้ทักษะทั้ง 5 อย่างเป็นระบบ เพื่อจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  3. ปรัชญา (Philosophies): องค์กรต้องมี “ปรัชญา” ที่สนับสนุนให้พนักงานกล้าที่จะลองแนวคิดใหม่ๆ โดยมีแนวคิดหลัก 4 ประการคือ
  • นวัตกรรมคือหน้าที่ของ “ทุกคน” (ไม่ใช่แค่แผนก R&D)
  • การสร้างนวัตกรรมที่พลิกโฉม (Disruptive) เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอ
  • การทำงานเป็นทีมเล็ก ๆ ที่มีความคล่องตัวเป็นสิ่งจำเป็น
  • การรับความเสี่ยงที่คำนวณมาแล้ว (Calculated Risks) เป็นส่วนสำคัญของภารกิจ

DNA ที่ต้องสร้าง ไม่ใช่รอรับ

“The Innovator’s DNA” ยืนยันว่า ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยพันธุกรรม แต่เป็นผลลัพธ์ของการฝึกฝนทักษะทั้ง 5 อย่างอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง

การจะเป็นนวัตกรได้นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในครั้งเดียว แต่ต้องเกิดจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทักษะเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิด ทำให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ก้าวล้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

สำหรับผู้นำองค์กรและผู้ประกอบการ นี่คือข่าวดี เพราะมันหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องรอ “อัจฉริยะ” แต่เราสามารถ “สร้าง” วัฒนธรรมและพัฒนากระบวนการ เพื่อปลูกฝัง DNA เหล่านี้ให้กับบุคลากรทุกคนในองค์กรได้

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: