ในโลกของการทำงานและการทำธุรกิจ เรามักถูกปลูกฝังความเชื่อชุดหนึ่งมาอย่างยาวนานว่า หากต้องการก้าวไปสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในโลกธุรกิจ ต้องการเป็นผู้บริหารระดับสูง หรือต้องการสร้างสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ ใบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ หรือ MBA (Master of Business Administration) คือตั๋วใบสำคัญที่ขาดไม่ได้
แต่ในความเป็นจริง โลกธุรกิจหมุนเร็วกว่าหลักสูตรในห้องเรียนเสมอ
วันนี้ Thumbsup หยิบหนังสือระดับตำนาน The Personal MBA: Master the Art of Business ของ Josh Kaufman มาชำแหละให้ดู หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้คุณทิ้งใบปริญญา แต่กำลังตั้งคำถามตัวโต ๆ ว่า ความรู้ทางธุรกิจที่แท้จริง หาได้จากที่ไหนกันแน่? และทำไมการเข้าใจ แก่น ของธุรกิจถึงสำคัญกว่า เปลือก ที่ห่อหุ้มด้วยชื่อสถาบัน
เรามาถอดรหัสวิชาธุรกิจฉบับ เรียนเอง เจ็บเอง รวยเอง ไปพร้อมกัน

ปลดล็อกศักยภาพ ชนะศัตรูที่ชื่อว่า “ความกลัว”
อุปสรรคแรกและเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนอยากทำธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องเงินทุน ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือ Business Anxiety หรือความวิตกกังวลว่าเรายังไม่เก่งพอ
หลายคนมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกฉุดรั้งด้วย Imposter Syndrome อาการที่คิดว่าตัวเองเป็นตัวปลอม กลัวว่าวันหนึ่งคนจะจับได้ว่าเราไม่ได้เก่งจริง ความรู้สึกนี้อันตรายมากเพราะมันจะหยุดยั้งนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
Josh Kaufman ชี้ให้เห็นว่า ความรู้คือยาถอนพิษของความสงสัย คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ (Prodigy) เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ สิ่งที่คุณต้องทำคือการเข้าใจพื้นฐาน (Fundamentals) ให้แน่นปึ้ก
การเรียนรู้พลวัตของบริษัท ตั้งแต่ช่วงก่อตั้งไปจนถึงช่วงเติบโต การมีความมั่นใจที่จะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ และความกล้าที่จะเปลี่ยนทิศทางเมื่อจำเป็น ทั้งหมดนี้คือทักษะที่ฝึกฝนได้ ไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด
ก้าวข้ามมายาคติของ MBA
ประเด็นที่เผ็ดร้อนที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือการท้าทายระบบการศึกษา ข้อมูลระบุว่าค่าเฉลี่ยของค่าเล่าเรียน MBA ในสถาบันชั้นนำระดับโลกสูงถึง 202,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 6.5 ล้านบาท) คำถามคือ ผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มค่าจริงหรือ?
หลักสูตร MBA ส่วนใหญ่มักเน้นทฤษฎีและออกแบบมาเพื่อป้อนคนเข้าสู่สายงานเฉพาะทาง เช่น ที่ปรึกษา, การเงิน หรือบทบาทผู้บริหารในองค์กรใหญ่ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ในทักษะที่จำเป็นสำหรับการ รันธุรกิจจริง
Kaufman ย้ำว่า Real World Learning Trumps Theoretical Knowledge ประสบการณ์หน้างานจริงชนะทฤษฎีในห้องเรียนเสมอ การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-education) การเอาตัวเองไปคลุกคลีกับปัญหาจริง และการสร้างเครือข่าย (Networking) คือทางลัดที่ประหยัดและทรงพลังกว่าการเป็นหนี้ก้อนโตเพื่อแลกกับกระดาษหนึ่งใบ
5 เสาหลักของธุรกิจที่ “รอด” และ “รุ่ง”
ธุรกิจไม่ใช่เรื่องซับซ้อนจนต้องใช้สมการแคลคูลัสมาแก้ แต่มันคือโครงสร้างที่ประกอบด้วย 5 ส่วนสำคัญ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป มันไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นแค่งานอดิเรก
- Value Creation (การสร้างคุณค่า): ธุรกิจต้องค้นหาว่า คนต้องการอะไร และตอบสนองสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าตลาดแมสหรือตลาดเฉพาะกลุ่ม ยิ่งคุณแก้ปัญหาได้ดีเท่าไหร่ ผลตอบแทนยิ่งสูงเท่านั้น
- Marketing (การตลาด): ของดีแค่ไหนถ้าไม่มีใครรู้ก็ไร้ค่า หน้าที่ของการตลาดคือการดึงดูดความสนใจ
- Sales (การขาย): เปลี่ยนความสนใจให้เป็น คำมั่นสัญญา หรือการจ่ายเงิน
- Value Delivery (การส่งมอบคุณค่า): ลูกค้าต้องได้รับสิ่งที่สัญญาไว้ และต้องได้รับอย่างพึงพอใจ
- Finance (การเงิน): ต้องมีกำไรเพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจไปต่อได้
สูตรสำเร็จที่ Kaufman สรุปไว้คือ หาปัญหาให้เจอ > สร้างทางแก้ > และทำให้มัน Win-Win ทั้งสองฝ่าย
ศาสตร์แห่งการปิดการขาย Marketing vs Selling
นักการตลาดและผู้ประกอบการมักสับสนระหว่างสองคำนี้
- Marketing คือการเชื้อเชิญ คือการทำให้คนหยุดดู ล่อใจด้วยคำสัญญา
- Sales คือการทำให้คน เชื่อ และ ยอมจ่าย
ความท้าทายในยุคนี้คือ ผู้บริโภคมีตัวเลือกมหาศาล การที่เขาหยิบของใส่ตะกร้าไม่ได้แปลว่าเขาจะจ่ายเงิน หน้าที่ของคุณคือการขจัดความลังเลสงสัยออกไปให้หมด
ความเชื่อใจ คือสะพานที่เชื่อมระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ Kaufman แนะนำแนวคิด MEVO (Minimum Economically Viable Offer) หรือการทำสอบตลาดด้วยข้อเสนอที่เล็กที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อดูว่ามีความต้องการจริงไหม ก่อนที่จะทุ่มสุดตัว ที่สำคัญคือ อย่าขายแบบยัดเยียด แต่จงขายด้วยการให้ความรู้ จนลูกค้าพูดว่า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันตามหามานาน
จำไว้ว่า คนเกลียดการถูกขาย แต่รักการซื้อ
การเงินและความน่าเชื่อถือคือหัวใจที่มองไม่เห็น
เมื่อขายได้แล้ว งานยังไม่จบ เพราะ Reputation หรือชื่อเสียงคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด การส่งมอบสินค้าที่เกินความคาดหวังคือการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนที่สุด ดูอย่าง Zappos ที่สร้างความเชื่อใจด้วยนโยบายคืนสินค้าฟรี สิ่งนี้เปลี่ยนความเสี่ยงของลูกค้าให้เป็นโอกาสของธุรกิจ
ในขณะเดียวกัน Financial Intelligence หรือความฉลาดทางการเงิน ไม่ใช่แค่การดูงบดุลเป็น แต่มันคือศิลปะการจัดสรรทรัพยากร
คุณต้องรู้ว่าเงินทุกบาทที่จ่ายไปจะสร้างผลตอบแทนกลับมาอย่างไร การมีสินค้าที่ดีแต่บริหารกระแสเงินสดล้มเหลว คือสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของ SME ดังนั้น การเข้าใจตัวเลขทางการเงิน จึงไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบัญชี แต่เป็นเรื่องของเจ้าของกิจการทุกคน
ชนะใครไม่เท่าชนะใจตนเอง
บทสุดท้ายที่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ คือการเข้าใจ มนุษย์ เริ่มจากตัวเราเอง การตระหนักรู้ในตนเอง รู้จุดแข็ง จุดอ่อน และข้อจำกัด จะทำให้เราตัดสินใจได้คมขึ้น
ในโลกธุรกิจ เราไม่ได้ทำงานคนเดียว การสื่อสาร และภาวะผู้นำ จึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย การเป็นผู้นำไม่ใช่การสั่งการ แต่คือการทำให้ทีมมองเห็นภาพเดียวกัน และดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมาผสมผสานกันให้ลงตัว
ธุรกิจคือเกมยาวที่ต้องใช้ทั้ง ศาสตร์ ของตัวเลข และ ศิลป์ ของคน
Thumbsup มองว่า หลังจากอ่าน The Personal MBA จบแล้ว มุมมองที่คุณมีต่อโลกธุรกิจอาจเปลี่ยนไป สิ่งที่ Josh Kaufman พยายามบอกไม่ใช่การต่อต้านระบบการศึกษา แต่เป็นการเรียกสติคนทำงานยุคใหม่ให้กลับมาโฟกัสที่ แก่นแท้ ของการทำธุรกิจจริง ๆ
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ใบปริญญา อาจเป็นเพียงใบเบิกทาง แต่ ทักษะในการสร้างคุณค่า และ ความเข้าใจมนุษย์ ต่างหาก คือเครื่องมือที่จะทำให้คุณอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำที่อยากเติบโต หรือฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ ลองถามตัวเองวันนี้ว่า คุณกำลังวิ่งตามกระดาษปริญญา หรือกำลังวิ่งเข้าหาโอกาสในการสร้างคุณค่าที่แท้จริง?
ถ้าคำตอบคืออย่างหลัง… ยินดีด้วย คุณได้เริ่มเรียน MBA ฉบับชีวิตจริงแล้ว
อ่านเพิ่มเติม



