Site icon Thumbsup

Twitter เปิดตัวบริการแชร์คลิปวิดิโอ Vine

vine-twitter

ถือเป็นความคึกคักในวงการโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เมื่อ Twitter เปิดตัวบริการบริการใหม่ล่าสุดที่มีไว้แชร์คลิปวิดิโอสั้นๆ ที่ชื่อว่า Vine ด้วยการใช้หลักการที่เดินตาม Twitter เลย นั่นทำให้แชร์แบบสั้นๆ ง่ายๆ ผ่้านการถ่ายวิดิโอ

อันที่จริงแล้วจริงๆ แล้วนั้น Vine เป็นบริษัท startup ที่พัฒนาที่เปิดตัวเมื่อประมาณกลางปี 2555 แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ Twitter ก็ทำการข้าซื้อ Vine เมื่อเดือนตุลาคม 2555 เพราะ Twitter ต้องการที่จะมีบริการด้านการแชร์วิดิโอเป็นของตัวเองบ้าง เหมือนกับที่ไปซื้อ Photobucket มาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2554

ลักษณะของการแชร์นั้นจะทำผ่านแอพพลิเคชันที่ชื่อว่า Vine โดยตอนนี้?Vine มีเฉพาะบน iOS?เท่านั้น ซึ่งคลิปวิดิโอที่โดยแสดงเป็นคลิปแบบเล่นวนไปเรื่อยๆ โดยวิดิโอที่ถ่ายนั้นที่มีความยาวสูงสุดไม่เกิน 6 วินาที


การใช้งานบนแอพ Vine ก็สามารถลงทะเบียนด้วยการใช้ Twitter เลย และวิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่าย เพราะใช้การสัมผัสหน้าจอเพื่อถ่ายและปล่อยเมื่อต้องการหยุด ซึ่งทำให้ไม่ต้องมานั่งตัดต่อวิดิโอให้เสียเวลาทีหลัง เมื่อถ่ายจนครบ 6 วินาทีแล้ว ก็จะสามารถแชร์ขึ้นได้ทั้งบนแอพ Vine เอง หรือจะแชร์ผ่าน Twitter และ Facebook ได้ โดยคลิปที่ได้จะดูคล้ายๆ กับภาพ Gif animation ก็คงไม่แปลก แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะถ่ายด้วยครับ

ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึง 6 วินาที คาดการณ์กันว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการดูที่สุด คือไม่สั้นห้วนๆ และไม่ยาวยืดจนเกินไป ลองดูตัวอย่างวิดิโอที่แชร์กันด้านล่างครับ

https://twitter.com/EmilyDreyfuss/statuses/294511386191618048

https://twitter.com/dGrayk/statuses/294475457972293632

ถ้ามองแนวทางของทาง Twitter ในการเปิดตัว Vine แล้ว นอกจากจะเป็นการเพิ่มอีก 1 ช่องทางในการแชร์วิดิโอในรูปแบบใหม่แล้ว ยังถือว่าอาจส่งผลกับ Instagram ที่ทาง Facebook ครองอยู่ (แถมไม่กินเส้นกันเมื่อช่วงปลายปี) อยู่ไม่น้อย เพราะลักษณะของแอพนั้นแทบจะถอดแบบกันมาเลย และถือความได้เปรียบเพราะเป็นภาพเคลื่อนไหว จะมีสิ่งที่ Vine ขาดไปก็เพียงแต่การตกแต่งแก้ไขเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าให้คาดการณ์ก็น่าจะมีออกมาให้ใช้ในเร็ววันนี้…

ใครที่ใช้ iPhone หรืออุปกรณ์ iOS อยู่ลองดาวน์โหลด Vine ไปใช้กันดูครับที่ App Store ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ ทาง Twitter บอกให้อดใจรออีกนิดครับ

ที่มา: Twitter Blog, Faceblog