ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘AI’ เลือนรางลงทุกที สมรภูมิการตลาดดิจิทัลก็ยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นเป็นเงาตามตัว เราได้เห็นทั้งบอทที่มาปั่นยอดขาย, แย่งกดบัตรคอนเสิร์ตในไม่กี่วินาที, หรือแม้กระทั่งมิจฉาชีพที่ใช้ AI สร้างตัวตนปลอมเพื่อหลอกลวงผู้คน สถานการณ์เหล่านี้กำลังท้าทายเครื่องมือคัดกรองตัวตนแบบเดิม ๆ อย่าง CAPTCHA ที่นับวันยิ่งอ่อนแอลงจนแทบจะกลายเป็นของล้าสมัย
ท่ามกลางความโกลาหลนี้เอง เทคโนโลยีหนึ่งได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะแก้ปัญหานี้ที่ต้นตอ นั่นคือ World และเครื่องสแกนม่านตาทรงกลมสีเงินที่ชื่อว่า ‘Orb’ ซึ่งหลายคนอาจจะเคยเห็นและเกิดคำถามมากมายในใจ
โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดที่ลอยอยู่ในอากาศ แต่เติบโตอย่างรวดเร็วจนน่าจับตา จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2025 มีผู้ดาวน์โหลด World App และสร้างบัญชีไปแล้วกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก และในจำนวนนี้ มีผู้ที่ผ่านการยืนยันความเป็นมนุษย์ผ่านเครื่อง Orb แล้วกว่า 15.3 ล้านคน กระจายตัวอยู่ในกว่า 160 ประเทศ สำหรับประเทศไทยเองก็ได้รับความสนใจไม่น้อย โดยคุณภัคพล ตั้งตงฉิน ระบุว่ามีผู้สร้างบัญชีในไทยแล้วประมาณ 2 ล้านคน และมีผู้ที่ยืนยันความเป็นมนุษย์เสร็จสมบูรณ์แล้วถึง 1 ล้านคน
วันนี้ World นำโดย ภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย และ ฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ Managing Director จาก World Foundation ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อไขทุกข้อข้องใจ สยบทุกข่าวลือ และประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อ ‘ระบุตัวตน’ แต่มาเพื่อ ‘ยืนยันความเป็นมนุษย์’ (Proof of Humanity) ซึ่งเป็นแนวคิดที่อาจจะเปลี่ยนวิธีที่เราโต้ตอบกับโลกออนไลน์ไปตลอดกาล

ถอดรหัส World: ไม่ใช่ ‘Who You Are’ แต่คือ ‘What You Are’
ก่อนจะไปไกลกว่านี้ ต้องทำความเข้าใจแก่นของ World ให้ตรงกันก่อน โปรเจกต์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่ริเริ่มโดย Sam Altman (ผู้สร้าง ChatGPT) และ Alex Blania จากบริษัท Tools for Humanity (TFH) พวกเขามองเห็นปัญหาที่กำลังจะกลายเป็นวิกฤตการณ์ในอนาคตอันใกล้ นั่นคือเมื่อ AI ฉลาดขึ้นจนแยกไม่ออกจากมนุษย์ โลกดิจิทัลจะเชื่อถืออะไรได้อีก?
คำตอบของพวกเขาคือการสร้างระบบที่สามารถยืนยันได้อย่างสิ้นสงสัยว่าผู้ใช้งานเป็น ‘มนุษย์’ จริง ๆ ไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ นี่คือจุดที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นว่ามันคือการ“ยืนยันความเป็นมนุษย์” (Proof of Humanity) ไม่ใช่ “การยืนยันตัวตน” (Proof of Identity)
พูดให้ง่ายกว่านั้นคือ ระบบของ World จะไม่ถามหรือเก็บข้อมูลว่าคุณคือใคร ชื่ออะไร บ้านเลขที่เท่าไหร่ แต่มันจะให้คำตอบแค่ ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ เมื่อมีคำถามว่า “บัญชีนี้เป็นของมนุษย์จริงหรือไม่?” สิ่งนี้เปรียบเสมือน Digital Passport ที่ยืนยันสถานะความเป็นมนุษย์ของเราในโลกออนไลน์
เทคโนโลยีเบื้องหลัง Orb: ปลอดภัยจริงหรือแค่คำโฆษณา?
ประเด็นที่คนกังวลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยและข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) ว่าภาพม่านตาของเราจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ไหน หรือเอาไปขายต่อหรือไม่ เรื่องนี้ทาง World อธิบายกระบวนการทำงานไว้อย่างละเอียดและน่าสนใจมาก
- สแกนและแปลงรหัสทันที: เมื่อผู้ใช้มองเข้าไปในเครื่อง Orb อุปกรณ์จะทำการสแกนภาพม่านตาและแปลงเป็นรหัสตัวเลขที่ไม่ซ้ำใคร เรียกว่า ‘Iris Code’
- ลบภาพต้นฉบับทิ้งถาวร: ทันทีที่ Iris Code ถูกสร้างขึ้น ภาพม่านตาต้นฉบับจะถูกลบทิ้งอย่างถาวร นั่นหมายความว่า World ไม่ได้จัดเก็บภาพม่านตาของผู้ใช้งานไว้เลย
- รหัสที่ไม่สามารถย้อนกลับได้: ฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ ยืนยันว่า Iris Code นี้เป็นรหัสที่ไม่สามารถถอดรหัสย้อนกลับไปเป็นภาพม่านตาได้อีก ไม่ว่าจะใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม มันเป็นแค่ชุดตัวเลข 0101 ที่ใช้เปรียบเทียบความซ้ำซ้อนเท่านั้น
- ข้อมูลอยู่ในมือผู้ใช้: ข้อมูลสำคัญอย่าง Iris Code และ Private Key จะถูกเข้ารหัสและจัดเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานเอง World ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนนี้ได้ ซึ่งผู้ใช้งานมีสิทธิ์เต็มที่ในการลบข้อมูลทั้งหมดออกจากระบบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
- กระจายศูนย์เพื่อความปลอดภัยสูงสุด: สำหรับ Iris Code ที่ใช้ในการยืนยันความไม่ซ้ำซ้อนบนระบบกลาง จะถูกนำไปผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Anonymized Multi-Party Computation (AMPC) ซึ่งจะหั่นรหัสออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระจายไปเก็บไว้ตามศูนย์ข้อมูลทั่วโลก เช่น ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำให้ต่อให้มีใครพยายามจะรวบรวมข้อมูลกลับมา ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใสขั้นสูงสุด World ได้เปิดโค้ดทั้งหมดเป็น Open Source บนแพลตฟอร์ม GitHub ให้นักพัฒนาหรือใครก็ตามที่สนใจสามารถเข้าไปตรวจสอบการทำงานของทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นการแสดงความจริงใจที่หาได้ยากในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ไขทุกข้อข้องใจ: แจกเงินทำไม? แล้วถูกกฎหมายไทยหรือไม่?
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตคือ “แล้วที่เห็นว่าได้เงินกันคืออะไร?” ภัคพลได้ชี้แจงว่า World ไม่มีนโยบายแจกเงินสด แต่สิ่งที่ผู้ใช้งานที่ผ่านการยืนยันแล้วสามารถเลือกที่จะรับได้คือ ‘Grant’ ในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลที่ชื่อว่า Worldcoin (WLD)
โมเดลนี้ไม่ได้แตกต่างจากกลยุทธ์ของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ในช่วงเปิดตัวมักจะให้เครดิตหรือสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามาสร้าง Network Effect ซึ่ง World เลือกที่จะใช้งบประมาณการตลาดส่วนนี้มอบให้กับผู้ใช้งานโดยตรงแทนที่จะไปทุ่มกับการโฆษณา เพราะระบบพิสูจน์ความเป็นมนุษย์จะไร้ความหมายหากไม่มีผู้ใช้งานจำนวนมากพอ
ส่วนในประเด็นด้านกฎหมาย ทาง World ยืนยันว่าได้มีการเข้าปรึกษาหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลของไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและหลังเปิดให้บริการในประเทศ โดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องคือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามกรอบของกฎหมายไทย
Business Model และก้าวต่อไปในประเทศไทย
แล้ว World จะสร้างรายได้อย่างไรถ้าไม่เก็บเงินจากผู้ใช้งาน? คำตอบคือโมเดลธุรกิจของพวกเขาเป็นแบบ B2B ในอนาคต แพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ต้องการคัดกรองผู้ใช้งานจริงออกจากบอท จะเป็นฝ่ายที่จ่ายค่าบริการให้กับ World เพื่อเชื่อมต่อกับระบบ World ID
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนคือความร่วมมือกับ Eventpop เพื่อแก้ปัญหาบอทกว้านซื้อบัตรคอนเสิร์ต หรือเกม Ragnarok Landverse ที่ใช้ World ID เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่บอทฟาร์มของ
สำหรับก้าวต่อไปในประเทศไทย World ได้ประกาศแผนการลงทุนที่น่าตื่นเต้นถึง 2 โครงการใหญ่:
- Orb Hackathon: การแข่งขันที่เชิญชวนแฮกเกอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วไทยมาเจาะระบบ Orb เพื่อหาช่องโหว่ ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในความปลอดภัยของเทคโนโลยี
- กองทุน 25 ล้านบาท: เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาและสตาร์ทอัพไทยในการสร้าง Mini Apps บนแพลตฟอร์มของ World ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้าง Ecosystem ในประเทศอย่างจริงจัง
Thumbsup มองว่า การแถลงข่าวของ World ในครั้งนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญในการสร้างความเข้าใจและลดความหวาดระแวงของสังคมต่อเทคโนโลยีใหม่ที่หลายคนยังไม่คุ้นเคย การเผชิญหน้ากับคำถามยาก ๆ อย่างตรงไปตรงมา และการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคในเชิงลึก คือกลยุทธ์การสร้างความไว้วางใจที่ถูกต้อง
ในมุมมองของนักการตลาดและคนในวงการเทคโนโลยี World ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์คริปโตฯ แต่เป็นความพยายามในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่สำหรับโลกดิจิทัล (Digital Infrastructure) ที่กำลังถูกท้าทายโดย AI อย่างหนักหน่วง แม้ว่าแนวคิดการใช้ข้อมูลชีวมิติอย่างม่านตาจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องใช้เวลาในการสร้างการยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหา “บอทครองเมือง” คือเรื่องจริงที่สร้างความเสียหายมหาศาล
ความท้าทายที่สุดของ World จากนี้ไป ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ ‘การสื่อสาร’ และ ‘การให้ความรู้’ เพื่อเปลี่ยนความกลัวให้เป็นความเข้าใจ และแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในการต่อสู้กับภัยออนไลน์และมิจฉาชีพ การประกาศลงทุนใน Ecosystem ของนักพัฒนาไทยถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองไทยเป็นแค่ตลาด แต่ต้องการที่จะเติบโตและสร้างประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่คนในวงการเราต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป



