Writer: 
Share
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2568 ส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออกที่อ่อนแรงลง, การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง, ไปจนถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอยจากความกังวลรอบด้าน การประกาศผลประกอบการของสถาบันการเงินจึงเป็นเหมือนดัชนีชี้วัดชีพจรเศรษฐกิจที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุด บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ออกมา ซึ่งเผยให้เห็นภาพการเติบโตที่น่าสนใจ แม้จะอยู่ท่ามกลางปัจจัยลบมากมาย โดยมีกำไรสุทธิ 1,730.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขที่ดูเหมือนจะเติบโตเพียงเล็กน้อยนี้ แท้จริงแล้วซ่อนกลยุทธ์การบริหารจัดการที่เฉียบคมและสะท้อนภาพรวมตลาดที่นักการตลาดและคนทำธุรกิจต้องหันมามองอย่างตั้งใจ
บทความนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ เพื่อถอดรหัสว่า TISCO วางหมากอย่างไรในการประคองธุรกิจให้เติบโตสวนกระแส และเราสามารถเรียนรู้อะไรจากกลยุทธ์ของพวกเขาได้บ้าง
Photo by Burak The Weekender from Pexels
เมื่อ ‘ต้นทุน’ กลายเป็นพระเอก ความเฉียบคมในการบริหารจัดการทางการเงิน
หัวใจสำคัญที่ทำให้ TISCO ยังคงรักษาการเติบโตของกำไรไว้ได้ มาจากความสามารถในการบริหารจัดการ “รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ” ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.3% จากปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยโดยรวมจะลดลง 2.7% จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ “ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย” ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 12.6% หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ TISCO สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund) ของตัวเองได้ดีเยี่ยมในภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 4.84%
นี่คือบทเรียนแรกสำหรับคนทำธุรกิจ ในวันที่การหารายได้ใหม่ ๆ เป็นเรื่องท้าทาย การหันกลับมามอง “ต้นทุน” และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อาจกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ธุรกิจของคุณยังคงมีกำไรและไปต่อได้
รายได้ที่ ‘ไม่ใช่ดอกเบี้ย’ แหล่งขุมทรัพย์ที่เติบโตอย่างน่าจับตา
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือการเติบโตของ “รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย” ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 31.6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในธุรกิจแขนงอื่นนอกเหนือจากสินเชื่อ
- ธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance): รายได้ส่วนนี้เติบโตขึ้นถึง 16.9% ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ Cross-selling ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสินเชื่อได้อย่างลงตัว เป็นกลยุทธ์การสร้างรายได้เพิ่มจากฐานลูกค้าเดิมที่ทรงพลัง
- ธุรกิจจัดการกองทุน (Asset Management): รายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานขยายตัว 11.4% จากการออกกองทุนรวมใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน แต่ความต้องการด้านการลงทุนและการวางแผนการเงินยังคงมีอยู่ โดย บลจ.ทิสโก้ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นถึง 11.1% จากไตรมาสก่อนหน้า รวมเป็นมูลค่ากว่า 440,775.65 ล้านบาท
- กำไรจากเงินลงทุน (FVTPL): ส่วนนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 792.5% 9ตามมูลค่าพอร์ตการลงทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะตลาด
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกธุรกิจจะสดใส รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์กลับชะลอตัวลง 19.7% ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง ซึ่งตอกย้ำภาพความผันผวนของตลาดทุนได้เป็นอย่างดี
สินเชื่อรายย่อย กับภาพสะท้อนกำลังซื้อและความหวังของผู้บริโภค
พอร์ตสินเชื่อของ TISCO เปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนสุขภาพทางการเงินของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยได้อย่างดี โดยภาพรวมเงินให้สินเชื่อรวมลดลงเล็กน้อย 2.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งการลดลงหลัก ๆ มาจาก “สินเชื่อธุรกิจ” ที่หดตัวถึง 9.2% จากการชำระคืนหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าภาคธุรกิจขนาดใหญ่กำลังชะลอการลงทุนและระมัดระวังตัวมากขึ้น
ในทางกลับกัน “สินเชื่อรายย่อย” ยังคงเติบโตได้ 0.8% โดยมีพระเอกสำคัญคือ
- สินเชื่อเช่าซื้อ (Hire-Purchase): เพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อน สิ่งที่น่าสนใจคือ TISCO ระบุว่ายอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าเติบโตดี แต่ถูกชดเชยด้วยยอดขายรถกระบะที่หดตัว นี่คือข้อมูลเชิงลึกที่นักการตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องจับตา เพราะมันคือสัญญาณการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคครั้งสำคัญ นอกจากนี้ TISCO ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในตลาดรถยนต์ใหม่ (Penetration Rate) ได้อย่างน่าทึ่ง จาก 4.6% ในปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 6.0%
- สินเชื่อจำนำทะเบียน (Auto Cash): หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สมหวัง เงินสั่งได้” ยังคงเติบโต 0.6% แม้จะชะลอการเปิดสาขาใหม่ แต่หันมาเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพสาขาเดิม แสดงให้เห็นว่าความต้องการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องของคนระดับฐานรากยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
‘ตั้งสำรองฯ’ เพิ่มขึ้น สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าและการบริหารความเสี่ยง
แม้ตัวเลขกำไรจะออกมาดีและคุณภาพสินทรัพย์ (NPL Ratio) จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.31% จากการบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่ TISCO ส่งสัญญาณเตือนดัง ๆ คือการตั้ง “ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL)” หรือการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 131.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
TISCO ให้เหตุผลว่าเป็นการตั้งสำรองพิเศษ (Management Overlay) เพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง การกระทำเช่นนี้คือการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก (Proactive Risk Management) สะท้อนว่าแม้สถานการณ์ปัจจุบันจะยังควบคุมได้ แต่บริษัทไม่ประมาทและมองไปข้างหน้าถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกหนี้ในอนาคต
นี่คือวินัยที่ทุกธุรกิจควรมี คือการมองสถานการณ์ตามความเป็นจริงและเตรียมพร้อมสำหรับ “วันที่เลวร้ายที่สุด” อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่มองโลกในแง่ดีเพียงอย่างเดียว
Thumbsup มองว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ของ TISCO ไม่ได้เป็นเพียงรายงานตัวเลขทางการเงิน แต่คือบทพิสูจน์ของกลยุทธ์ “การเติบโตอย่างระมัดระวัง” (Cautious Growth) ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการเติบโตไม่จำเป็นต้องมาจากการขยายตัวอย่าง aggressive เสมอไป แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากการบริหารจัดการภายในอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การหันมาโฟกัสที่การลดต้นทุน การสร้างรายได้จากธุรกิจบริการที่หลากหลาย และการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่ยังคงมีศักยภาพ เช่น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการด้านการลงทุน
สัญญาณการตั้งสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับ NPL ที่ลดลง คือสารที่ชัดเจนที่สุดจาก TISCO ถึงคนในแวดวงธุรกิจและการตลาดว่า “พายุกำลังจะมา” แม้ตอนนี้ฟ้าจะยังดูสดใสอยู่ก็ตาม ความเปราะบางของกำลังซื้อในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและ SMEs เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
บทเรียนสำคัญจากกรณีศึกษานี้คือ ในยุคที่ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน การปรับตัวอย่างรวดเร็ว, การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก และการมองหาโอกาสในตลาดที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยังสามารถ “เติบโต” ได้อย่างยั่งยืน TISCO ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคุมเกมนี้ได้อย่างอยู่หมัดจริง ๆ
