เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่องของพายุฝนธรรมดา แต่คือนิมิตหมายเตือนภัยระดับชาติที่สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางสภาพภูมิอากาศในรูปแบบใหม่ และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ “เครื่องมือทางการเงิน” ที่เรามีอยู่ อาจยังไม่ตรงจุดพอที่จะรับมือกับหายนะครั้งต่อไป

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรูปแบบใหม่ และถอดบทเรียนการเงินสีเขียวจากญี่ปุ่นที่ไทยต้องรีบปรับใช้

รู้จัก “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” (Atmospheric Rivers) ตัวการวิกฤตฝนถล่ม

ภาพจำของน้ำท่วมเดิมๆ มักเกิดจากพายุดีเปรสชันหรือมรสุมตามฤดูกาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหาดใหญ่ล่าสุดคือผลพวงของ Climate Change ที่รุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” (Atmospheric Rivers: ARs)

ARs คืออะไร?

อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ มันคือกระแสลมที่มีลักษณะแคบแต่มีความเข้มข้นสูง ทำหน้าที่เหมือนสายพานลำเลียงไอน้ำปริมาณมหาศาลจากเขตร้อนขึ้นสู่ละติจูดที่สูงกว่า ภาวะโลกร้อนทำให้ชั้นบรรยากาศกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้น ส่งผลให้ ARs มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น เมื่อกระแสลมนี้พุ่งชนฝั่งหรือภูมิประเทศ มวลไอน้ำทั้งหมดจะกลั่นตัวกลายเป็นฝนตกหนักแบบถล่มทลายในระยะเวลาสั้นๆ

ความเสียหายที่เป็นรูปธรรม:

ข้อมูลจากสถานีอุตุนิยมวิทยาหาดใหญ่ชี้ชัดว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ปริมาณน้ำฝนสะสมสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 86.3% (YoY) ที่น่าตกใจคือ ปริมาณฝนที่ตกหนักเพียงวันเดียวแตะระดับ 370 มิลลิเมตร ซึ่งตัวเลขนี้มากกว่าปริมาณฝนสะสม “ทั้งเดือน” ของเดือนพฤศจิกายนในปี 2020 และ 2022 เสียอีก

ไทยขาดแคลน “ทุน” รับมือโลกร้อนอย่างหนัก

แม้ธรรมชาติจะส่งสัญญาณเตือนรุนแรง แต่ความพร้อมด้านเม็ดเงินของไทยกลับน่าเป็นห่วง ข้อมูลเผยว่าภาครัฐไทยมีเงินทุนเพื่อรองรับผลกระทบจาก Climate Change เพียง 15%-18% ของความเสียหายที่คาดการณ์ไว้ต่อปีเท่านั้น

หากดูตัวเลขการลงทุนโครงการด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) รัฐบาลไทยลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 29,027 ล้านบาทต่อปี แต่เมื่อเทียบกับประเมินของ UNESCAP พบว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงถึง 165,000 – 192,043 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นช่องว่างทางการเงิน (Funding Gap) ขนาดมหาศาลที่งบประมาณปกติอาจไม่เพียงพอ

กับดัก ESG Bonds ของไทย: มีของดี แต่ใช้ไม่ตรงจุด

หลายคนอาจแย้งว่า ไทยก็มีการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (ESG Bonds) อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

คำตอบคือ “ใช่” แต่ไส้ในของการใช้เงินนั้นยังไม่ตอบโจทย์เรื่องภัยพิบัติ

ปัจจุบัน ภาครัฐไทยเป็นผู้ออกตราสารหนี้ ESG รายใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 65% ของยอดคงค้างทั้งหมด (มูลค่ารวมกว่า 9.59 แสนล้านบาท) โดยมีการออกทั้ง Sustainability Bonds และ Sustainability-linked Bonds

แต่ปัญหาคือ… เงินไปอยู่ที่ไหน?

เงินทุนส่วนใหญ่จากการระดมทุนเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อภารกิจเร่งด่วนในอดีตอย่าง การเยียวยาและปรับโครงสร้างหนี้จากวิกฤต COVID-19 และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีชมพู ทำให้พันธบัตร ESG ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างทางการเงิน กลับขาดการนำไปใช้เพื่อรับมือกับปัญหา Climate Change หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติโดยตรง

ถอดบทเรียน “โตเกียวโมเดล”: Climate Resilience Bonds ทางออกที่ไทยต้องทำ

ในขณะที่ไทยกำลังติดขัดเรื่องงบประมาณ รัฐบาลมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government หรือ TMG) ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้วยการเดินหน้าออก Climate Resilience Bonds หรือพันธบัตรเพื่อรับมือกับสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะ เป็นครั้งแรกของโลก

รายละเอียดความสำเร็จของโตเกียว:

  • วงเงินระดมทุน: ประมาณ 50,000 ล้านเยน (ราว 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • วัตถุประสงค์: เสริมความแกร่งให้เมืองพร้อมรับมือพายุและน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นจาก Climate Change
  • การใช้เงิน: ลงทุนในโครงการป้องกันพื้นที่ชายฝั่ง, เสริมความแข็งแรงของตลิ่งแม่น้ำ, ทางระบายน้ำหลาก และพัฒนาระบบระบายน้ำฝน

ทำไมต้องเป็น Resilience Bonds?

ความแตกต่างสำคัญคือ พันธบัตรทั่วไปมักไม่ระบุวัตถุประสงค์ด้านการรับมือ Climate Change ที่ชัดเจน แต่ Climate Resilience Bonds ช่วยให้รัฐระดมทุนเพื่อการปรับตัว (Adaptation) ได้ตรงเป้าหมาย และมีมาตรฐานสากลที่ตรวจสอบได้ชัดเจนว่าเงินถูกนำไปใช้เพื่อป้องกันภัยพิบัติจริงๆ

ถึงเวลา Set Zero พันธบัตรกู้โลกฉบับไทย

เหตุการณ์ที่หาดใหญ่คือสัญญาณเตือนว่า “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” และภัยพิบัติรูปแบบใหม่จะไม่รอให้เราพร้อม ภาครัฐไทยจึงควรเร่งพิจารณาออก ESG Bonds ประเภทใหม่ เช่น Climate Resilience Bonds ตามแบบอย่างของญี่ปุ่น เพื่อระดมทุนมาสร้างระบบป้องกันภัยพิบัติที่จริงจัง ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายน้ำ เขื่อนป้องกันตลิ่ง หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศสุดขั้ว

เพราะการลงทุนเพื่อ “ป้องกัน” ในวันนี้ ย่อมคุ้มค่ากว่าการจ่ายเงินเพื่อ “เยียวยา” ความเสียหายที่ไม่รู้จบในอนาคต