Hungry Hub

ถ้าพูดถึงวงการร้านอาหารในปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าเป็นปีที่ “หืดจับ” ที่สุดปีหนึ่ง ตัวเลขจากหลายสำนักชี้ไปทางเดียวกันว่ายอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales) ตกลงเฉลี่ย 15-20% แต่ในวิกฤตกลับมีโอกาสเสมอ เพราะเมื่อมองไปที่ Hungry Hub แพลตฟอร์มจองร้านอาหารสัญชาติไทย พวกเขากลับสามารถสร้างยอดขายให้พาร์ทเนอร์ร้านอาหารได้กว่า 1,000 ล้านบาทในปี 2025 และตัวบริษัทเองก็ยังทำกำไรต่อเนื่อง

ล่าสุด คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง Hungry Hub ได้ออกมาเปิดเผยทิศทางใหม่ที่น่าสนใจ เพราะตัวแพลตฟอร์มจะไม่ใช่แค่การเป็นแอปฯ จองบุฟเฟ่ต์ แต่คือการทรานส์ฟอร์มจาก Marketing Arm ของร้านอาหาร สู่การเป็น Tech Company ที่ยกระดับธุรกิจร้านอาหารได้จริง พร้อมงัดกลยุทธ์ Dynamic Pricing ที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโรงแรม และสายการบินมาใช้ ซึ่งนี่อาจจะเป็น Game Changer ของวงการร้านอาหารไทย

วันนี้ Thumbsup จะพาไปแกะรอยความสำเร็จและเจาะลึกกลยุทธ์ใหม่ของพวกเขากัน

Hungry Hub

ย้อนรอยความล้มเหลวสู่การคืนชีพของ Hungry Hub

หลายคนอาจไม่รู้ว่า Hungry Hub เริ่มต้นในปี 2014 ด้วยโมเดลธุรกิจที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นพวกเขาทำระบบจองโต๊ะร้านอาหารแบบ SaaS (Software as a Service) กินค่าใ้จ่ายรายเดือนจากร้านอาหาร แต่ผลลัพธ์คือ “ล้มเหลว” เพราะร้านอาหารไม่ได้ต้องการแค่ซอฟต์แวร์อำนวยความสะดวก แต่สิ่งที่ร้านอาหารต้องการจริง ๆ คือ “ลูกค้าและรายได้ที่เพิ่มขึ้น”

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Hungry Hub ตัดสินใจ Pivot โมเดลธุรกิจ เปลี่ยนร้าน A La Carte ให้กลายเป็น Buffet แก้ Pain Point ลูกค้าชาวไทยที่ชอบทานอาหารแบบแชร์ริ่งแต่กังวลเรื่องงบบานปลาย โมเดลนี้ทำให้บริษัทเทิร์นกลับมามีกำไรได้ภายใน 1 ปี และเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

มากกว่าแอปฯ จองโต๊ะ คือการเป็น “OTA สำหรับร้านอาหาร”

หนึ่งในวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจที่คุณสุรสิทธิ์เน้นย้ำคือ การวาง Positioning ของ Hungry Hub ให้เป็น Online Travel Agency (OTA) ของวงการร้านอาหาร

ทำไมต้องเป็น OTA? ลองนึกภาพเวลาจองโรงแรมผ่าน Agoda หรือ Trip.com ลูกค้าเหล่านั้นทำเพื่อความสะดวก เปรียบเทียบราคา และจองล่วงหน้า Hungry Hub กำลังทำสิ่งเดียวกันกับร้านอาหาร โดยเฉพาะการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Inbound Tourists)

  • Multi-Currency & Multi-Language: ปัจจุบันแอปฯ รองรับกว่า 15 ภาษา และแสดงผลราคาตามสกุลเงินของนักท่องเที่ยว ทำให้คนสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือเกาหลี สามารถจองร้านอาหารไทยได้ง่ายเหมือนจองโรงแรม
  • Expansion: หลังจากประสบความสำเร็จในการบุกสิงคโปร์เมื่อปลายปี 2023 (สร้างยอดขายให้ร้านอาหารระดับท็อปได้กว่า 1 ล้านบาท/เดือน) ตอนนี้ Hungry Hub ได้ปักธงที่ กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เป็นที่เรียบร้อย โดยมีร้านอาหารเข้าร่วมแล้วกว่า 50 แห่ง และมีแผนขยายสู่ 2-3 ประเทศใหม่ในปีหน้า

Dynamic Pricing เมื่อร้านอาหารปรับราคาได้เหมือน “ตั๋วเครื่องบิน”

ไฮไลท์สำคัญที่สุดของงานนี้คือการเปิดตัวฟีเจอร์ Dynamic Pricing ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับวงการร้านอาหารในไทย แต่เป็นเรื่องปกติสำหรับธุรกิจโรงแรมและสายการบิน

Pain Point หลักของร้านอาหารคือ “Fixed Price” หรือราคาที่เท่ากันตลอดเวลาไม่ว่าฝนจะตก รถจะติด หรือเป็นวันศุกร์สิ้นเดือนที่คนแน่นร้าน คุณสุรสิทธิ์ตั้งคำถามว่า “ทำไมร้านอาหารต้องขายราคาเท่ากันทุกวัน?” ในเมื่อ Demand ของลูกค้ามีความผันผวนตลอดเวลา

ฟีเจอร์นี้จะอนุญาตให้ร้านอาหารตั้งราคาแบบยืดหยุ่นได้ตาม Demand และ Supply จริง

  • Demand-Based: ร้าน Michelin Star ที่จองยาก ๆ อาจจะตั้งราคา 10 ที่นั่งแรกราคาหนึ่ง และ 10 ที่นั่งสุดท้ายที่ Demand สูงในราคาที่สูงขึ้น
  • Time-Based: ช่วงบ่ายวันธรรมดาที่ร้านโล่ง อาจลดราคาเพื่อดึง Traffic เข้ามา
  • Situational: หากฝนตกหนัก ยอดจองน้อย ระบบอาจแนะนำให้ลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายทันที

ที่เจ๋งคือ Hungry Hub ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และ Recommend ราคาที่เหมาะสมให้ร้านค้า โดยดูจากคู่แข่ง สภาพอากาศ และพฤติกรรมผู้บริโภค แบบ Real-time นี่คือการเปลี่ยนร้านอาหารจากการทำตลาดแบบ “เดา” มาสู่การใช้ “Data” อย่างแท้จริง

ปรับแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์พฤติกรรม “กินดื่ม” ที่เปลี่ยนไป

นอกจากเรื่องราคา Hungry Hub ยังเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยการออกฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มโอกาสในการทำเงิน (Monetization) ให้กับร้านค้า

  1. DIY Set: จากเดิมที่บังคับเมนูในแพ็กเกจ ฟีเจอร์นี้ให้ลูกค้าเลือกจัดเซตเองได้ ยืดหยุ่นตามงบประมาณ (เช่น เลือกจานหลัก 1 ของทานเล่น 2 เครื่องดื่ม 1)
  2. Add-on Bundle: การแก้ปัญหา Pain Point ของร้านอาหารที่ลูกค้าจองแพ็กเกจแล้วไม่สั่งอะไรเพิ่ม ด้วยการขายพ่วง (Upsell) ตั้งแต่ตอนจอง เช่น ดอกไม้ เค้กวันเกิด หรือแพ็กเกจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 20% โดยที่ร้านไม่ต้องเหนื่อยเชียร์ขายหน้างาน
  3. Refund Guarantee: ซื้อประกันการยกเลิกจอง เพื่อความอุ่นใจของลูกค้า จ่ายเพิ่มนิดหน่อยแต่ได้เงินคืนเป็น Gift Card หากต้องยกเลิก

Data Analytics อาวุธใหม่ของร้านอาหาร

อีกก้าวสำคัญสู่การเป็น Tech Company คือการปล่อยฟีเจอร์ Benchmarking ให้ร้านอาหารดูข้อมูลเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด (โดยไม่ระบุชื่อ) ว่าที่ยอดขายของร้านตก เป็นเพราะตัวร้านตกคนเดียว หรือตลาดวายกันหมด? ข้อมูลนี้จะช่วยให้เจ้าของร้านตัดสินใจปรับกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น ไม่ต้องนั่งเทียนนึกเอาเอง

ปัจจุบัน Hungry Hub มีร้านค้าพันธมิตรในไทย 2,200 ร้านค้า และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเป็น 3,000 ร้านค้าทั่วไทยในปี 2026 มีลูกค้าต่างชาติคิดเป็นเกือบ 30-40% ของยอดขายทั้งหมด มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน โดยยอดใช้จ่ายต่อบิลจะอยู่ที่ 1,100 บาท/คน

Thumbsup มองว่า จากการฟังวิสัยทัศน์ของคุณสุรสิทธิ์ และตัวเลขการเติบโตที่แม้ในปีที่ยากลำบาก Hungry Hub ก็ยังทำกำไรได้ (ปี 2024 คาดรายได้ 110-120 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “Platform Economy” ในหมวดร้านอาหารยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมหาศาล

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่แค่ “ส่วนลด” อีกต่อไป แต่อยู่ที่ “Efficiency” หรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่นั่ง (Yield Management) การนำ Dynamic Pricing มาใช้ อาจจะดูเป็นเรื่องท้าทายความรู้สึกผู้บริโภคไทยในช่วงแรก แต่ถ้าร้านค้าบริหารจัดการได้ดี มันคือเครื่องมือที่จะทำให้ร้านอาหารอยู่รอดได้ในยุคที่ต้นทุนพุ่งสูงแต่กำลังซื้อผันผวน

Hungry Hub กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นตัวกลางที่ไม่ใช่แค่ “เสือนอนกิน” แต่เป็น “Partner” ที่ช่วยคิด ช่วยขาย และช่วยใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา คือทางรอดที่แท้จริงของแพลตฟอร์มยุคนี้

อ่านเพิ่มเติม