ในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ระดับโลก หากจะเอ่ยชื่อนิตยสารที่เปรียบเสมือน “คัมภีร์” ของนักเศรษฐศาสตร์ ผู้นำประเทศ และ CEO ทั่วโลก ชื่อของ The Economist ย่อมต้องผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรก ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 180 ปี และจุดยืนที่สนับสนุนเสรีนิยมอย่างแข็งขัน ทำให้การครอบครองความเป็นเจ้าของในสื่อหัวนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการลงทุนเพื่อผลกำไร แต่มันคือการถือครอง “สัญลักษณ์แห่งอำนาจและปัญญา”
สัปดาห์นี้ วงการสื่อโลกกำลังจับตามองดีลประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อตระกูล Rothschild ตัดสินใจเทขายหุ้น 27% ที่ถือครองมาอย่างยาวนาน เปิดโอกาสให้เหล่ามหาเศรษฐีและกลุ่มทุนสื่อยักษ์ใหญ่กระโดดเข้ามาแย่งชิงเก้าอี้ดนตรีตัวสำคัญนี้ก่อนเส้นตายจะมาถึง

ภาพจาก The Economist
รอยร้าวของตระกูลผู้ก่อตั้ง และจุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ
ข่าวใหญ่จาก Reuters ระบุว่า การขายหุ้นครั้งนี้กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีเส้นตายการยื่นความจำนงเบื้องต้นในวันศุกร์นี้ แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่ามีผู้สนใจไม่ต่ำกว่า 10 ราย ซึ่งรวมถึงมหาเศรษฐีระดับ Ultra-wealthy และบริษัทสื่อชั้นนำ ตบเท้าเข้ามาแสดงความสนใจ
จุดเริ่มต้นของดีลนี้มาจากการตัดสินใจของ Lynn Forester de Rothschild ภรรยาหม้ายของ Evelyn de Rothschild อดีตประธานของ The Economist (ดำรงตำแหน่งปี 1972-1989) ผู้ล่วงลับไปเมื่อสามปีก่อน การตัดสินใจขายหุ้นของตระกูล Rothschild ครั้งนี้ ถือเป็นการปิดฉากบทบาทของหนึ่งในตระกูลการธนาคารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรปที่มีต่อสื่อหัวนี้
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ ตระกูล Rothschild ไม่ใช่แค่เศรษฐีทั่วไป แต่คือผู้สนับสนุนทางการเงินในสงครามนโปเลียน เป็นผู้กู้วิกฤต Bank of England ในปี 1825 และเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้อังกฤษเข้าซื้อคลองสุเอซในปี 1875 การที่ตระกูลเก่าแก่ขนาดนี้ถอยทัพออกจาก The Economist จึงเป็นสัญญาณของการผลัดใบที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
โครงสร้างผู้ถือหุ้น กับสมดุลแห่งอำนาจ
The Economist ก่อตั้งขึ้นในปี 1843 ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นกระจายตัวเกือบ 1,000 ราย แต่ขั้วอำนาจใหญ่มีอยู่สองฝั่ง คือ
- Exor: บริษัทโฮลดิ้งของตระกูล Agnelli มหาเศรษฐีชาวอิตาลี (เจ้าของ Fiat และ Ferrari) ซึ่งถือหุ้นใหญ่สุดที่ 43.4% โดยพวกเขาเพิ่งซื้อหุ้น 50% ต่อจาก Pearson ในปี 2015 ด้วยมูลค่า 469 ล้านปอนด์
- ตระกูล Rothschild: ที่กำลังจะขายหุ้น 27% ออกไป
การขายครั้งนี้คาดว่าจะทำมูลค่าได้สูงถึง 800 ล้านปอนด์ (ราว 33,000 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นมูลค่ามหาศาลสำหรับธุรกิจสื่อในยุคที่หลายคนมองว่าสิ่งพิมพ์กำลังตาย
ทำไมเศรษฐีถึงอยากได้ The Economist?
ในโลกที่ข้อมูลหาได้ฟรีเต็มอินเทอร์เน็ต ทำไมเศรษฐีถึงยอมควักเงินพันล้านเพื่อซื้อสื่อ? คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ “กำไร” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “สถานะ”
ผู้บริหารสื่อระดับสูงในสหรัฐฯ ให้ความเห็นที่น่าสนใจมากว่า “ต่อให้คุณได้ไปเดินในงาน World Economic Forum คุณก็อาจจะรู้สึกว่ามันแออัดไปด้วยผู้คน แต่การได้เป็นเจ้าของ The Economist นั้นต่างออกไป มันทำให้คุณได้รับความเคารพ และมันจะเปิดประตูที่น่าสนใจอีกมากมายให้กับคุณ”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Trophy Asset” หรือทรัพย์สินที่เป็นรางวัลประดับบารมี การได้ครอบครอง The Economist คือการประกาศศักดาว่าคุณคือผู้สนับสนุนปัญญาชนและเสรีภาพทางความคิด ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เงินซื้อไม่ได้ง่าย ๆ ในช่องทางอื่น
กำแพงเหล็กแห่ง “ความเป็นอิสระ”
อย่างไรก็ตาม สำหรับเศรษฐีที่คิดจะซื้อสื่อเพื่อใช้เป็นกระบอกเสียงของตัวเอง อาจจะต้องผิดหวัง เพราะ The Economist มีโครงสร้างการบริหารที่ซับซ้อนและเข้มงวดมาก เพื่อรักษา “ความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ”
กฎเหล็กของที่นี่คือ ห้ามบุคคลหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งถือหุ้นจนมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จ โครงสร้างนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของเข้าแทรกแซงเนื้อหา ทำให้ The Economist ยังคงความขลังและความน่าเชื่อถือมาได้กว่า 182 ปี
กรณีศึกษาที่น่าสนใจเมื่อเร็ว ๆ นี้คือความพยายามซื้อสื่อในอังกฤษของกลุ่มทุนต่างชาติ อย่างกรณีของตระกูล RedBird Capital จากสหรัฐฯ และกลุ่มทุนจากอาบูดาบี ที่พยายามเข้าซื้อ Telegraph Media Group แต่ต้องถอนตัวออกไปเพราะติดกฎระเบียบของรัฐบาลอังกฤษที่กีดกันการเป็นเจ้าของโดยต่างชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการซื้อสื่อที่มีอิทธิพลในอังกฤษไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ใช่แค่กล่อง แต่เงินก็ดีด้วย
แม้เราจะบอกว่ามันคือ Trophy Asset แต่ในเชิงธุรกิจ The Economist ก็เป็น “Cash Cow” ที่แข็งแรงมาก ในขณะที่สื่อทั่วโลกดิ้นรนเอาตัวรอด The Economist กลับสามารถทำกำไรและขยายฐานสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง
ผลประกอบการล่าสุดในรอบ 6 เดือนสิ้นสุดกันยายน 2025 ระบุว่า
- รายได้: 170 ล้านปอนด์
- กำไรจากการดำเนินงาน: 20 ล้านปอนด์ (เติบโตขึ้นถึง 23% จากปีก่อนหน้า)
ตัวเลขนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า โมเดลธุรกิจที่เน้นคุณภาพเนื้อหา (Quality Journalism) และการสร้างฐานสมาชิก (Subscription Model) ยังคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องในยุคดิจิทัล
Thumbsup มองว่า ดีลการขายหุ้นของ Rothschild ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนมือเจ้าของ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงทิศทางของอุตสาหกรรมสื่อโลก ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มทุนที่มีวิสัยทัศน์ แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่ “ความน่าเชื่อถือ” และ “อิทธิพลทางความคิด” ยังคงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงสุด
สำหรับนักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ บทเรียนจาก The Economist ชัดเจนมาก โดยเฉพาะในยุคที่ Content ท่วมทุ่ง สิ่งที่จะทำให้แบรนด์สื่ออยู่รอดและทำกำไรได้ คือการรักษามาตรฐาน ความเป็นตัวจริง และการสร้าง Trust ให้กับผู้อ่าน หากทำได้ ไม่ว่าแพลตฟอร์มจะเปลี่ยนไปอย่างไร คุณค่าของแบรนด์ก็จะยังคงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้เสมอ
เราต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในศึกประมูลครั้งนี้ และ “ประตูบานใหม่” ที่พวกเขาไขว่คว้า จะพา The Economist ไปในทิศทางใด แต่ที่แน่ ๆ จิตวิญญาณแห่งเสรีนิยมที่ฝังรากลึกในนิตยสารฉบับนี้ น่าจะยังคงอยู่คู่โลกไปอีกนาน ตราบใดที่โครงสร้างการถ่วงดุลอำนาจยังคงทำงานของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านเพิ่มเติม


