ในยุคที่ Generative AI กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของทุกคน ตั้งแต่เขียนอีเมล ร่างพรีเซนต์งาน ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวอย่าง การวางแผนเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2025 แบบนี้ เชื่อว่าหลายคนกำลังง่วนอยู่กับการจัดทริปปีใหม่ และแน่นอนว่าเครื่องมือทุ่นแรงอย่าง AI คือทางเลือกแรกที่คนนึกถึง
แต่เดี๋ยวก่อน… ก่อนที่คุณจะกดจองตั๋วเครื่องบิน หรือรูดบัตรเครดิตจองโรงแรมตามคำแนะนำของ AI เราอยากให้คุณหยุดคิดและตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง เพราะรายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การฝากความหวังไว้กับอัลกอริทึมในการเดินทางช่วงวันหยุด อาจนำไปสู่หายนะทางอารมณ์และกระเป๋าสตางค์ได้มากกว่าที่คิด
วันนี้ Thumbsup จะพาไปส่องประเด็นนี้กันชัด ๆ ว่าทำไม AI ถึงยังไม่ใช่ Travel Agent ที่ไว้ใจได้ 100% และในฐานะนักการตลาด เราเรียนรู้อะไรจาก Pain Point นี้ได้บ้าง
ยุคแห่งการส่งงานวางแผนเที่ยวให้ AI
ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ จากข้อมูลของ Adobe เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ในสหรัฐฯ มีนักท่องเที่ยวเกือบ 3 ใน 10 คน ที่ใช้ Generative AI ในการช่วยวางแผนทริป และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ Traffic ที่วิ่งเข้าสู่เว็บไซต์ท่องเที่ยวผ่าน AI นั้นพุ่งสูงขึ้นถึง 3,500% ในปีที่ผ่านมา
ยิ่งในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ความวุ่นวายของการเคลียร์งานปลายปีถาโถม การโยนภาระการจัดทริปให้ AI จึงดูเป็นทางออกที่หอมหวาน ผลสำรวจจาก Matador Network ย้ำอีกเสียงว่ากว่า 30% ของนักท่องเที่ยวพร้อมจะใช้ AI ช่วยจัดการทริปวันหยุดในปีนี้
แต่ความสะดวกสบายนี้ มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย หากเราขาดความรอบคอบ
เมื่อ AI “มั่นหน้า” แต่ “ไม่อัปเดต” คือปัญหา
ปัญหาคลาสสิกของ LLM คือเรื่องของ Real-time Data แม้ว่า AI หลายตัวจะเริ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว แต่ความสามารถในการแยกแยะบริบทของ วันหยุดเทศกาล กับ วันธรรมดา ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ
Juan Luis Nicolau ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจจาก Virginia Tech ให้คำนิยามที่น่าสนใจว่า “ให้มอง AI เป็นเหมือนแบบร่างแรก (First Draft) ที่ชาญฉลาด แต่อย่ามองมันเป็นคำตอบสุดท้าย” เพราะ AI เก่งในเรื่องการหาไอเดียและสร้างแรงบันดาลใจ แต่สอบตกเรื่องการตัดสินใจที่ต้องอิงกับสถานการณ์หน้างานจริง
ความเสี่ยงหลัก ๆ ที่เราสรุปมาให้ มีดังนี้
1. ข้อมูลล้าหลัง vs สถานการณ์จริง
AI มักจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลเก่า หรือข้อมูลทั่วไปในอดีต มาประมวลผล แต่โลกความเป็นจริง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
Dana Yao ผู้ร่วมก่อตั้ง Dana Yao Media แพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเคสที่เจ็บแสบ คือการใช้ AI วางแผนไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ย่านชิบูย่า โตเกียว AI แนะนำดิบดีว่าต้องไปจุดไหน ทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ AI ไม่รู้คือ อีเวนต์นั้นถูกยกเลิกไปแล้ว ถ้าใครหลงเชื่อและไปเก้อหน้างาน คงเป็นปีใหม่ที่กร่อยสนิท
2. ตกหล่นเรื่องบริบททางวัฒนธรรม
นี่คือจุดตายของ AI ที่ยังขาดความเข้าใจใน วิถีชีวิต ของมนุษย์จริง ๆ ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเรื่อง KFC ในญี่ปุ่น
สำหรับคนไทยหรือคนอเมริกัน KFC คือฟาสต์ฟู้ดทั่วไป แต่สำหรับคนญี่ปุ่น KFC คืออาหารประจำเทศกาลคริสต์มาสที่ต้อง จองล่วงหน้าเป็นสัปดาห์
AI อาจแนะนำให้คุณเดินเข้าไปกินไก่ทอดชิล ๆ ในวันคริสต์มาส แต่ความเป็นจริงคือคุณจะไม่ได้กิน เพราะของหมดเกลี้ยง ถ้าไม่จองล่วงหน้า นี่คือ Nuance หรือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ AI มองข้าม แต่มันส่งผลกระทบมหาศาลต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว
3. ตรรกะพังพินาศในเชิงเส้นทาง
เคยไหมที่ Google Maps บอกว่าใช้เวลา 10 นาที แต่ความเป็นจริงคือ 40 นาที? AI แย่กว่านั้น เพราะมันมักมองข้ามปัจจัยเรื่อง สภาพอากาศ, การจราจรช่วงเทศกาล หรือแม้แต่ผังสนามบิน
Casey Keller จาก Wandering Everywhere ชี้ว่า AI อาจแนะนำไฟลท์ต่อเครื่อง ที่ดูเหมือนเวลาพอดีเป๊ะ แต่ในความเป็นจริง ระยะทางระหว่าง Gate ขาเข้ากับขาออกอาจจะไกลกันคนละฟากสนามบิน หรือไม่ได้คำนวณเวลาดีเลย์ช่วง High Season เข้าไป ผลลัพธ์คือ… ตกเครื่อง
4. ความไม่รู้เรื่องกฎระเบียบข้ามพรมแดน
AI ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตม. และมันมักจะไม่เตือนคุณเรื่องอายุพาสปอร์ตที่ต้องเหลือมากกว่า 6 เดือน หรือเงื่อนไข Visa ที่เปลี่ยนไป การพึ่งพาข้อมูลวีซ่าจาก AI อาจทำให้ทริปล่มตั้งแต่ยังไม่ได้เช็คอิน
เมื่อ Demand สูง AI ยิ่งพลาด
ช่วงวันหยุดยาวคือบททดสอบปราบเซียน เพราะทุกอย่างผันผวน ทั้งราคาและการจอง Goedele Mangelaars ซีอีโอของ Pink Notebook เตือนถึงความผิดพลาดของ AI ที่อาจทำให้เราเสียเงินฟรี
- Phantom Availability: AI ไปดึงข้อมูลเก่ามาบอกว่า โรงแรมนี้ว่าง แต่พอกดเข้าไปจริง ๆ เต็มไปนานแล้ว
- Pricing Hallucinations: AI ประมวลผลจากข้อมูลราคาช่วง Low Season หรือปีก่อน แล้วบอกว่าโรงแรมคืนละ 150 เหรียญ แต่ราคาจริงหน้าเทศกาลอาจพุ่งไป 450 เหรียญ
- Currency Confusion: การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนที่สับสน ทำให้งบประมาณบานปลาย
ทางรอดของนักเดินทางยุค AI
ในเมื่อเราห้ามไม่ให้ใช้เทคโนโลยีไม่ได้ (และจริง ๆ มันก็มีประโยชน์มากถ้าใช้เป็น) เราจึงต้องปรับจูน Mindset ในการใช้งานใหม่
- Idea Generation Only: ใช้ AI เพื่อหาไอเดีย หาลิสต์สถานที่ หรือร่างแผนคร่าว ๆ เท่านั้น
- Be Specific with Prompts: สั่งงานให้ละเอียดที่สุด ระบุไปเลยว่า ขอแผนที่มีเวลาเผื่อรถติด หรือ ขอร้านอาหารที่เหมาะกับครอบครัวและต้องจองล่วงหน้า
- Human Verification is a Must: กฎเหล็กคือ ต้องเช็คเอง เข้าไปดู Official Website, เช็คหน้าเพจ Facebook ของร้าน หรือโทรถาม เพื่อยืนยันเวลาเปิด-ปิด และเงื่อนไขล่าสุดเสมอ
แม้ผู้เชี่ยวชาญจะบอกว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาขึ้น AI จะเรียนรู้ข้อมูลได้ Real-time มากขึ้นในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่ AI ยังทำไม่ได้และอาจจะไม่มีวันทำได้คือ ความรู้สึก หรือ Vibe
AI บอกได้ว่า เกียวโตมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สวยงาม แต่มันไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกสงบตอนเดินผ่านวัดเก่า ๆ หรือกลิ่นอายของเมืองมันเป็นอย่างไร มันไม่รู้มารยาททางสังคมที่ซับซ้อน หรืออารมณ์ของสถานที่นั้น ๆ
Thumbsup มองว่า นี่คือโอกาสของแบรนด์ท่องเที่ยวและนักการตลาด คอนเทนต์ประเภท รีวิวจริงจากคนจริง” หรือบริการที่มี Human Support คอยช่วยเหลือ จะกลับมามีมูลค่าสูงมากในยุคที่ข้อมูล AI ท่วมท้น
การใช้ AI วางแผนเที่ยวไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันคือเครื่องมือทุ่นแรง ไม่ใช่ผู้รับเหมา การตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเอง คือปราการด่านสุดท้ายที่จะปกป้องทริปในฝันของคุณไม่ให้กลายเป็นฝันร้าย อย่าลืมว่าเทคโนโลยีช่วยเราได้ แต่ความรับผิดชอบในการใช้ชีวิตยังเป็นของเรา
อ้างอิง: Quartz
อ่านเพิ่มเติม




