Don't Overthink It

เคยเป็นไหม? นั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนตี 2 กังวลว่าแคปชันที่เพิ่งโพสต์ไปมันดู ขายของ เกินไปหรือเปล่า? หรือนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดวนไปวนมาว่าในที่ประชุมเมื่อเช้า เจ้านายทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง? หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างการตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสั่งข้าวร้านไหนดีจนหมดเวลาพักเที่ยง

ถ้าคุณพยักหน้ายอมรับ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะในยุค Data-Driven ที่เรามีข้อมูลล้นมือจนเกิดอาการ Analysis Paralysis หรือภาวะอมพะนำทางความคิด ตัดสินใจไม่ได้เพราะข้อมูลเยอะเกินไป สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณว่าคุณกำลังติดอยู่ในกับดักของ การคิดมาก หรือ Overthinking

วันนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกหนังสือ Don’t Overthink It ของ Anne Bogel ที่จะมาบอกเราว่า การคิดมากไม่ใช่ กรรมเก่า หรือนิสัยที่แก้ไม่ได้ แต่มันคือ รูปแบบความคิด ที่เราสามารถ Rewrite โค้ดใหม่ได้ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นและการทำงานที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

Don't Overthink It

คุณไม่ได้เกิดมาเป็นคนคิดมาก คุณแค่ “ติดนิสัย” คิดมาก

Pain Point แรกที่คนส่วนใหญ่ก้าวข้ามไม่ได้ คือความเชื่อที่ว่า ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ เปลี่ยนไม่ได้หรอก Anne Bogel บอกว่านั่นคือความเข้าใจผิดมหันต์ การคิดมากไม่ใช่ DNA แต่มันคือพฤติกรรมที่เราทำซ้ำจนชิน

ในโลกการทำงาน เรามักจะสับสนระหว่าง การรอบคอบ กับ การคิดมาก การรอบคอบคือการวางแผนเพื่อลดความเสี่ยง แต่การคิดมากคือการใช้พลังงานอารมณ์ไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น วนเวียนอยู่กับความกังวลที่ยังไม่เกิด หรือเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วโดยไม่เกิด Productive Outcome ใด ๆ

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงคือ Mindset Shift เลิกแปะป้ายตัวเองว่าเป็นคนคิดมาก แต่ให้บอกตัวเองใหม่ว่า ฉันคือคนที่ตัดสินใจเก่ง ฉันตัดเรื่องไร้สาระออกไปได้ และฉันเลือกโฟกัสแค่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ เมื่อเราเชื่อว่าเราเปลี่ยนได้ สมองจะเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ แทนที่จะหาข้ออ้างให้กับการกระทำเดิม ๆ

เมื่อข้อมูลท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด

ในวงการการตลาด เราชอบข้อมูล เราชอบทำ A/B Testing แต่บางครั้งความต้องการความสมบูรณ์แบบก็ทำให้เราไม่กล้าฟันธง อาการของ Analysis Paralysis ที่พบบ่อยคือ

  • เลื่อนการตัดสินใจออกไปเรื่อย ๆ เพื่อรอ จังหวะที่ดีกว่า (ซึ่งไม่มีจริง)
  • หาข้อมูลเพิ่มไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่ข้อมูลที่มีก็เพียงพอแล้ว
  • กลัวความผิดพลาดจนไม่กล้าขยับตัว

สำหรับคนทำงานสายครีเอทีฟหรือกลยุทธ์ ความอยากรู้เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกินไปมันจะกลายเป็นตัวถ่วง วิธีแก้คือ กำหนด Deadline และ จำกัดตัวเลือก ยอมรับว่าโลกนี้ไม่มี Solution ที่เพอร์เฟกต์ 100% มีแต่ Solution ที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นและสถานการณ์นั้น

กลยุทธ์ “Fail Fast” ล้มให้ไว แล้วไปต่อ

ถ้ามัวแต่รอให้แผนสมบูรณ์แบบ คุณอาจจะไม่ได้เริ่มอะไรเลย แนวคิดที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้คือการมองความผิดพลาดให้เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับวิถีของ Startups ที่เน้น Launch & Learn

  • Reality Check: เตือนตัวเองเสมอว่าไม่มีทางเลือกไหนที่สมบูรณ์แบบ ทุกทางเลือกมี Trade-off เสมอ
  • Action First: ถ้ารู้สึกติดขัด ให้ลองขยับตัวทำอะไรสักอย่าง แม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ เช่น แทนที่จะนั่งคิดแผนทั้งโปรเจกต์ ลองร่างโครงร่างคร่าว ๆ ดูก่อน การลงมือทำจะช่วยสร้าง Momentum ที่พาเราหลุดจากวงโคจรความคิดในหัว
  • อนุญาตให้ตัวเองล้มเหลว: ถ้าตัดสินใจผิด ก็แค่เรียนรู้แล้วปรับปรุง ครั้งหน้าคุณจะฉลาดขึ้น การมองว่าความล้มเหลวคือ ข้อมูล ไม่ใช่ ตราบาป จะช่วยลดความกดดันได้มหาศาล

ใช้ Core Values เป็นเข็มทิศนำทาง

บางครั้งเราคิดมากเพราะเราไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน เปรียบเหมือนแบรนด์ที่ไม่มี Brand Purpose ก็จะหวั่นไหวไปตามกระแสสังคมได้ง่าย

Anne ยกตัวอย่างเรื่องของ Ally หญิงสาวที่ให้ความสำคัญกับการเสริมพลังผู้หญิง เมื่อต้องเลือกระหว่างไปงานระดมทุนกับไปเที่ยวพักผ่อนกับแก๊งเพื่อนสาว เธอเลือกไปเที่ยวได้อย่างไม่ลังเล เพราะสำหรับเธอ การได้ใช้เวลาคุณภาพกับเพื่อนคือการเติมพลังใจ ซึ่งสอดคล้องกับคุณค่าที่เธอยึดถือ

สำหรับนักการตลาด ลองถามตัวเองว่า Core Value ของเราในการทำงานคืออะไร? คือความคิดสร้างสรรค์? คือผลลัพธ์ที่วัดได้? หรือคือความจริงใจต่อผู้บริโภค? เมื่อมีธงในใจชัดเจน การตัดสินใจว่าจะรับงานนี้ไหม หรือจะแก้ปัญหานี้ยังไง จะง่ายขึ้นและเร็วขึ้นทันที เพราะคุณรู้ว่าอะไรคือ Priority ที่แท้จริง

จัดการ “Decision Fatigue” ด้วยการสร้างระบบอัตโนมัติ

เคยมั้ยที่กลับถึงบ้านแล้วเหนื่อยจนไม่อยากคิดว่าจะกินอะไร? นั่นคืออาการ Decision Fatigue หรือสมองล้าจากการตัดสินใจมาทั้งวัน วิธีแก้ที่หนังสือแนะนำและเวิร์กมากสำหรับคนบ้างานคือการ ลดจำนวนการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น ลง

  • สร้าง Routine: กำหนดไปเลยว่าซักผ้าวันไหน เช็กอีเมลเวลากี่โมง เพื่อไม่ต้องมานั่งคิดจัดสรรเวลาหน้างาน
  • Signature Style: ทำไม Steve Jobs ถึงใส่เสื้อคอเต่าสีดำทุกวัน? เพื่อตัดการตัดสินใจเรื่องแต่งตัวออกไป ลองหาสไตล์เก่งของคุณ หรือเมนูอาหารประจำวันที่กินได้ไม่เบื่อ เพื่อเก็บพลังสมองไว้ใช้กับเรื่องใหญ่ แๆ อย่าง Strategy หรือ Big Idea
  • จำกัดแหล่งข้อมูล: เวลาหาไอเดียงาน อย่าเปิด Tab ค้างไว้เป็นร้อย เลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้แค่ 1-2 แหล่ง แล้วโฟกัสแค่นั้น

ตัดวงจร “Rumination” คิดวนเวียนที่บั่นทอนจิตใจ

การคิดทบทวนเป็นเรื่องดี แต่การคิดวนเวียน หรือ Rumination คือยาพิษ มันคือการฉายหนังม้วนเดิมในหัวซ้ำ ๆ โดยไม่มีตอนจบและมีแต่ความรู้สึกแย่ ๆ

เทคนิคการหยุดวงจรนี้คือ

  1. จับให้ได้ว่ากำลังทำ: รู้ตัวว่า อ้าว นี่ฉันกำลังคิดเรื่องเดิมรอบที่ 10 แล้วนะ
  2. Disrupt ตัวเอง: เปลี่ยนจุดโฟกัสทันที หันไปทำสิ่งที่ต้องใช้สมาธิ หรือใช้เทคนิค Not Now บอกตัวเองว่า เดี๋ยวค่อยคิดเรื่องนี้ตอน 5 โมงเย็น
  3. เปลี่ยนมุมมอง (Reframe): ลองมองปัญหาเดิมในมุมใหม่ ถ้าเพื่อนเจอปัญหานี้ คุณจะแนะนำเพื่อนว่ายังไง? เรามักจะใจดีกับคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ ลองใจดีกับตัวเองบ้าง

สร้างความสุขเล็ก ๆ เพื่อ Reset สมอง

สุดท้าย การคิดมากมักเกิดจากความเครียดสะสม การมี Ritual หรือพิธีกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันช่วยได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการดริปกาแฟตอนเช้า การจุดเทียนหอมตอนทำงาน หรือการอนุญาตให้ตัวเอง Splurge หรือ ใช้จ่ายเพื่อความสุข บ้างในบางโอกาส

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มันคือการสร้าง Mental Space ให้สมองได้พัก การมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยระหว่างวันจะช่วยลดความวิตกกังวล และทำให้เรามองเห็นภาพกว้างได้ชัดเจนขึ้น

Thumbsup มองว่า การเลิกเป็นคนคิดมาก หรือ Overthinker ไม่ได้แปลว่าเราจะกลายเป็นคนสะเพร่า แต่หมายถึงการที่เราสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่มีค่าที่สุดอย่าง ความคิด และ เวลา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็วขนาดนี้ คนที่ชนะอาจไม่ใช่คนที่คิดแผนได้ซับซ้อนที่สุด แต่คือคนที่ตัดสินใจได้เฉียบคม ลงมือทำได้รวดเร็ว และกล้าที่จะเรียนรู้จากผลลัพธ์หน้างาน

ลองหยิบเทคนิคจากหนังสือเล่มนี้ไปปรับใช้ เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ อย่างการเลือกเมนูอาหารกลางวัน หรือการกดส่งอีเมลโดยไม่ต้องอ่านทวนรอบที่ 5 ดู แล้วคุณจะพบว่าเมื่อสมองโล่งขึ้น พื้นที่สำหรับไอเดียดี ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: