ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างหมุนเร็วแบบ Real-time เรามักจะเห็นภาพความสำเร็จที่สวยหรูผ่านหน้าจอโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นยอดขายทะลุเป้า แคมเปญที่กลายเป็น Viral หรือสตาร์ทอัพที่เติบโตแบบก้าวกระโดด สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนตกหลุมพรางของการมองหา ทางลัด และหลงลืมแก่นแท้ของการสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน
วันนี้ Thumbsup อยากชวนทุกคนมาวางมือถือ พักสายตาจาก Dashboard ตัวเลข แล้วมาทำความเข้าใจปรัชญาจากหนังสือ Chop Wood, Carry Water ของ Joshua Medcalf หนังสือเล่มเล็ก ๆ แต่ทรงพลังที่จะเตือนสติเราว่า ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่มีลิฟต์ที่พาไปสู่จุดสูงสุด

กับดักของความยิ่งใหญ่
เราทุกคนต่างมีความฝัน เราอยากเป็นนักการตลาดระดับโลก อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ใคร ๆ ก็รัก หรืออยากเป็นผู้นำทางความคิด แต่ Joshua Medcalf ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ความฝัน แต่อยู่ที่ วิธีการมอง
เรามักจะหลงใหลในภาพลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ จนลืมไปว่าเบื้องหลังภาพสวยหรูเหล่านั้น คือกระบวนการที่แสนธรรมดาและน่าเบื่อหน่าย ประโยคทองของหนังสือเล่มนี้คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะหลงรักกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์
การนั่งจินตนาการถึงความสำเร็จนั้นง่ายและหอมหวาน แต่การลงมือสร้างมันขึ้นมาจริง ๆ นั้นขมขื่นและเต็มไปด้วยเหงื่อไคล นี่คือจุดตัดที่แยก ผู้เพ้อฝัน ออกจาก ผู้ลงมือทำ
ปรัชญา “ผ่าฟืนและตักน้ำ”
ชื่อหนังสือมาจากคติสอนใจแบบเซนที่เปรียบเปรยชีวิตกับการฝึกฝน ไม่ว่าคุณจะอยากเป็นซามูไร หรือ CEO หน้าที่ของคุณในทุก ๆ วันคือการ ผ่าฟืนและตักน้ำ
- ฟืนและน้ำในชีวิตจริง: สำหรับนักการตลาด มันอาจหมายถึงการนั่งตอบคอมเมนต์ลูกค้าทีละคน การตรวจสอบข้อมูล Data ซ้ำ ๆ การเขียนก๊อบปี้แก้งานแล้วแก้งานเล่า หรือการเรียนรู้เครื่องมือใหม่ ๆ ที่ดูยากและน่าปวดหัว
- เปลี่ยนมุมมองต่องานจำเจ: คนส่วนใหญ่มองงานเหล่านี้ว่าเป็น ภาระ หรือ อุปสรรค ที่ขวางกั้นความสำเร็จ แต่ Medcalf บอกให้เรามองมันเป็น โอกาสในการเติบโต ช่วงเวลาที่คุณทำงานน่าเบื่อเหล่านี้ คือช่วงเวลาที่คุณกำลังสร้างรากฐานที่มั่นคง ไม่มีตึกสูงไหนตั้งตระหง่านได้โดยไร้เสาเข็มที่ตอกลึกลงไปในดิน
สร้างระบบคุณค่าที่แข็งแกร่ง
ในวงการที่วัดผลกันด้วย KPI, ROI หรือยอด Engagement มันง่ายมากที่เราจะเอา คุณค่าของตัวเอง ไปผูกติดกับ ตัวเลข
เมื่อยอดขายตก เราก็รู้สึกไร้ค่า เมื่อแคมเปญแป้ก เราก็รู้สึกเป็นคนขี้แพ้ นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุด Medcalf แนะนำว่า เราต้องสร้าง ระบบคุณค่า ของตัวเองขึ้นมาใหม่
- แยกแยะ “ตัวตน” ออกจาก “ผลงาน”: คุณคือมนุษย์ที่มีคุณค่า ไม่ใช่หุ่นยนต์ผลิตตัวเลข ความล้มเหลวในงานไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนล้มเหลว
- โฟกัสที่ “สิ่งที่คุณควบคุมได้”: เราควบคุมอัลกอริทึมไม่ได้ แต่เราควบคุมวินัยในการทำงาน การใส่ใจลูกค้า และความตั้งใจในการสร้างสรรค์งานได้
- ความซื่อสัตย์ต่อหลักการ: เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น การเลือกกำไรระยะสั้น vs ความจริงใจต่อลูกค้า ระบบคุณค่าจะเป็นเข็มทิศที่ช่วยให้เราเลือกทางที่ถูกต้องในระยะยาว ไม่ใช่แค่ทางที่ได้เงินเยอะที่สุด
ความเป็นเลิศเกิดจากความสม่ำเสมอ
ในยุคที่เราบูชา Talent หรือพรสวรรค์ หนังสือเล่มนี้กลับบอกว่า เมื่อพรสวรรค์ไม่ถูกขัดเกลา ความพยายามจะเอาชนะมันได้เสมอ
ความเป็นเลิศไม่ได้เกิดจากการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่เกิดจากการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความใส่ใจ เปรียบเหมือนการตอกตะปู คุณต้องตอกย้ำ ๆ ที่จุดเดิมเพื่อให้มันทะลุผ่านไม้ ไม่ใช่ตอกสะเปะสะปะ
สำหรับคนทำงาน นี่คือเครื่องเตือนใจว่า อย่ามองข้ามความสำคัญของ Routine หรือกิจวัตรประจำวัน การอ่านบทความวันละเรื่อง การวิเคราะห์คู่แข่งวันละนิด การฝึกเขียนคอนเทนต์ทุกวัน สิ่งเหล่านี้คือการ ผ่าฟืน ที่จะสะสมเป็นกองเพลิงแห่งความสำเร็จในอนาคต
ก้าวข้ามความท้อแท้ด้วย Growth Mindset
แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมมีความท้อแท้ โดยเฉพาะเมื่อเราพยายามเต็มที่แล้วแต่ผลลัพธ์ยังไม่มา หรือที่เรียกว่าภาวะ Impostor Syndrome ทาง Medcalf แนะนำกลยุทธ์ในการจัดการกับความรู้สึกนี้
- ตรวจสอบ Input ของชีวิต: คุณดูอะไร? อ่านอะไร? คบใคร? สิ่งเหล่านี้คืออาหารสมองและจิตวิญญาณ ถ้าคุณรายล้อมด้วยคนที่เอาแต่บ่นหรือเสพข่าวดราม่า พลังงานของคุณก็จะลดต่ำลง
- การประเมินตัวเอง: อย่าเปรียบเทียบหนังสือบทที่ 1 ของคุณกับบทที่ 20 ของคนอื่น ให้แข่งกับตัวเองเมื่อวาน จดบันทึกความก้าวหน้าแม้เพียงเล็กน้อย และมองความผิดพลาดเป็น ข้อมูล เพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เครื่องตัดสินชะตาชีวิต
ความล้มเหลวคือเพื่อนร่วมทาง
Steve Jobs เคยถูกไล่ออกจาก Apple, Walt Disney เคยถูกบอกว่าไร้จินตนาการ, Thomas Edison ถูกครูหาว่าโง่… เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่ตำนานปรัมปรา แต่เป็นหลักฐานว่า ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของกระบวนการ
เราถูกสอนให้กลัวความล้มเหลว แต่คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือคนที่ ล้มเหลวมากที่สุด แต่พวกเขาลุกขึ้นมา ลองใหม่ ทุกครั้ง การผ่าฟืนอาจจะทำให้มือคุณพอง น้ำอาจจะหกเลอะเทอะบ้าง แต่นั่นคือวิธีเดียวที่คุณจะสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่ง
Thumbsup มองว่า เราทุกคนมีเวลา 86,400 วินาทีเท่ากันในแต่ละวัน Medcalf ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ชวนสะดุ้งว่า เราใช้เวลาเหล่านั้นไปกับอะไร?
- Waste: ใช้ทิ้งขว้างไปกับเรื่องไร้สาระ
- Spend: ใช้ไปกับเรื่องจำเป็น
- Invest: ลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต
ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ว่าคุณมีความฝันยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่วัดกันที่ว่าคุณ ลงทุน เวลาของคุณไปกับการ ผ่าฟืนและตักน้ำ มากน้อยเพียงใด แม้ในวันที่ไม่มีใครมองเห็น แม้ในวันที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด
บทเรียนจาก Chop Wood, Carry Water คือเครื่องเตือนใจที่ดีที่สุดในยุค Fast Fashion และ Fast Content เราอาจจะใช้ AI ช่วยทำงานได้เร็วขึ้น แต่ AI ไม่สามารถสร้าง วินัย และ หัวใจ ในการทำงานแทนเราได้
อย่ารังเกียจงาน Routine อย่าดูถูกงานเล็ก ๆ เพราะนั่นคือรากฐานของความเชี่ยวชาญ วันนี้ลองถามตัวเองดูว่า ฟืน และ น้ำ ของคุณคืออะไร? และคุณกำลังทำมันด้วยความใส่ใจ หรือแค่ทำให้มันจบ ๆ ไป? ความแตกต่างของคำตอบนี้แหละครับ คือตัวชี้วัดความสำเร็จในอีก 5 ปีข้างหน้าของคุณ
อ่านเพิ่มเติม



