Art Market

ในโลกของการตลาดและการลงทุน เรามักจะมองหา รูปแบบ เพื่อทำนายอนาคต แต่ถ้าถามถึงตลาดศิลปะในปี 2025 คำจำกัดความที่ใกล้เคียงที่สุดคงหนีไม่พ้นชื่อเพลงของ Talking Heads ที่ว่า Stop Making Sense เพราะนี่คือปีที่ตรรกะทางการตลาดแทบจะใช้ไม่ได้ผล ข้อมูลที่ออกมามีความย้อนแย้งในตัวเองสูงมาก จนแม้แต่นักวิเคราะห์ระดับโลกยังออกมายอมรับว่า นี่คือปีที่เราเดาทางอะไรไม่ได้เลย

Art Market

จุดเริ่มต้นของความงุนงง

บรรยากาศของปี 2025 ถูกปกคลุมด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่ต้นปี เมื่อ Donald Trump กลับเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในวันที่ 20 มกราคม สิ่งที่ตามมาคือพายุของคำสั่งฝ่ายบริหาร และการใช้โซเชียลมีเดียที่ดุดันจนทำให้คนในวงการรู้สึกเหมือนเวลาในแต่ละสัปดาห์ยาวนานเป็นนิรันดร์

ในช่วงแรกของปี งาน Frieze Los Angeles ในเดือนกุมภาพันธ์ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดี ดีลเลอร์หลายรายรายงานยอดขายถล่มทลาย ผลงานจากแกลเลอรีดังอย่าง Gladstone หรือ David Zwirner ทำราคาพุ่งเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นั่นก็เป็นเพียงแสงสว่างสั้น ๆ เพราะในเดือนต่อมา เมื่อ Trump ประกาศกำแพงภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักสามรายของสหรัฐฯ บรรยากาศก็พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อหายวับไปกับตา ราวกับอากาศที่ถูกสูบออกจากห้อง

ยุคสมัยแห่งการปิดตัว และการปรับโครงสร้างใหม่

สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามากในปี 2025 คือปรากฏการณ์ Gallery Death Watch หรือการทยอยปิดตัวของแกลเลอรีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เริ่มจากการประกาศ ยุติบทบาท ของ Tim Blum ดีลเลอร์ระดับโลกในเดือนกรกฎาคม ตามมาด้วยการปิดตัวของแกลเลอรีอื่น ๆ แทบจะทุกสัปดาห์ในช่วงครึ่งปีหลัง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจซบเซาธรรมดา แต่มันคือสัญญาณของ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้นทุนคงที่ทั้งค่าเช่าที่ในย่านหรูและเงินเดือนพนักงานพุ่งสูงขึ้นจนโมเดลธุรกิจเดิมเริ่มรับไม่ไหว แกลเลอรีที่ยังรอดอยู่ต้องยอมปรับตัวอย่างหนัก บางแห่งต้องยอมให้ส่วนลดลูกค้าสูงถึง 20% และยืดระยะเวลาการชำระเงินออกไปเพื่อรักษาสภาพคล่อง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การสร้างแบรนด์” ในยุคนี้แค่ชื่อเสียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่สูงมากด้วย

เมื่อ Modern Art กลายเป็น S&P 500

ในขณะที่ผลงานของศิลปินหน้าใหม่ หรือที่วงการเรียกว่า Wet-paint works (งานที่สียังไม่ทันแห้งก็รีบเอามาขาย) ทำผลงานได้ย่ำแย่ในสนามประมูล แต่ผลงานระดับ Masterpiece ของศิลปินยุค Modern กลับทำสถิติโลกอย่างน่าเหลือเชื่อ

จุดที่พีกที่สุดคือการประมูลของ Sotheby’s ในเดือนพฤศจิกายน ณ อาคาร Breuer Building แห่งใหม่ใจกลางนิวยอร์ก ภาพ Portrait of Elisabeth Lederer ของ Gustav Klimt ถูกประมูลไปในราคาสูงถึง 236.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,400 ล้านบาท) กลายเป็นงานศิลปะสมัยใหม่ที่แพงที่สุดในโลก และแพงเป็นอันดับสองของประวัติศาสตร์การประมูล

ปรากฏการณ์นี้สื่อให้เห็นว่า เมื่อตลาดมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนจะวิ่งกลับไปหาสิ่งที่ แน่นอน และ มีมูลค่าที่พิสูจน์แล้ว Peter Bentley Brandt นักจัดการงานศิลปะให้ความเห็นที่น่าสนใจมากว่า ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การซื้อภาพ Modern Art ก็เหมือนกับการซื้อดัชนี S&P 500 มันคือความปลอดภัยท่ามกลางพายุ

การรุกคืบของสินค้า Luxury และความเหนื่อยล้าของนักช้อป

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจของสถาบันการประมูลอย่าง Christie’s และ Sotheby’s คือการหันมาให้ความสำคัญกับสินค้ากลุ่ม Luxury มากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากภาคศิลปะ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการประมูลกระเป๋า Hermès Birkin ใบแรกของโลกที่ Sotheby’s Paris ซึ่งทำสถิติไปที่ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Auction House กำลังพยายามขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่มีกำลังซื้อและต้องการสินค้าที่จับต้องได้ง่ายกว่างานศิลปะเชิงลึก

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขยอดขายรวมในปี 2025 ของ Christie’s จะแตะ 6.2 พันล้านดอลลาร์ และ Sotheby’s จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7 พันล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ General Fatigue หรือความเหนื่อยล้าทั่วไปของคนในวงการ นักสะสมหลายคนเริ่มรู้สึกว่าตารางกิจกรรมที่อัดแน่นเกินไปและการแข่งขันที่ไม่มีวันจบสิ้นทำให้พวกเขาเริ่ม ถอย ออกมาพัก

Thumbsup มองว่า หากมองย้อนกลับไป 2025 คือบทเรียนสำคัญของนักการตลาดและนักธุรกิจ ตลาดศิลปะได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความเชื่อมั่น คือสินค้าที่แพงที่สุด เมื่อการเมืองและภาษีกลายเป็นตัวแปรหลัก แบรนด์ที่แข็งแรงที่สุด เหมือนงานของ Klimt หรือ Picasso จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและทำกำไรได้สูงสุด ในขณะที่แบรนด์ที่เน้นตามกระแสจะล้มหายตายจากไปตามรอบเศรษฐกิจ

การที่ Sotheby’s ยอมทุ่มงบซื้ออาคาร Breuer เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความสำเร็จท่ามกลางตัวเลขขาดทุนมหาศาล คือบทพิสูจน์ว่าในโลกธุรกิจ “การรักษาภาพลักษณ์” (PR Win) บางครั้งก็สำคัญพอๆ กับตัวเลขในบัญชี เพื่อสร้าง Momentum ให้คนยังกล้าที่จะควักเงินจ่าย สิ่งที่น่าติดตามต่อในปี 2026 คือ ตลาดศิลปะจะสามารถฟื้นฟู “ความต้องการซื้อ” ให้กลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ หรือเราจะต้องอยู่กับโลกที่ “ไม่มีตรรกะ” แบบนี้ไปอีกนาน

อ้างอิง: Art News

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: