
การอยู่รอดของธุรกิจในยุคที่โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งกระแสการดิสรัพของเทคโนโลยี พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคน รวมไปถึงการใช้จ่ายประจำวัน แปรเปลี่ยนไปหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมั่นภักดีต่อแบรนด์ การตัดสินใจซื้อ หรือการเข้าถึงสินค้า ไม่ได้จำกัดว่าจะอยู่บนแพลตฟอร์มใดอีกแล้ว
ทุกการใช้จ่ายเลือกได้
เพราะคนไทยเลือกกินอาหารนอกบ้านมากขึ้น รวมทั้งเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปแบบจานด่วนผ่านหน้าร้านสะดวกซื้อมากขึ้น ทำให้เป็นโอกาสของธุรกิจ CPRAM โตต่อเนื่องได้ทุกปี
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด เล่าว่า ภาพรวมธุรกิจของซีพีแรมโตไม่น้อยกว่า 10% ต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2018 ทำรายได้ 17,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ ส่วนปี 2019 ก็ตั้งเป้า 20,000 ล้านบาท คิดว่าจะทำตามเป้าได้ไม่ยาก แต่กลยุทธ์จะใช้เทคโนโลยีมาปรับใช้ในการวิเคราะห์คนมากขึ้น
“เราจะปรับเมนูให้เหมาะกับกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งผู้สูงวัย เด็ก คนรักสุขภาพ แต่ยังรักษารสชาติให้ดีเหมือนปรุงสุกใหม่ ด้วยการขยายการผลิตไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น เพื่อเอาใจพฤติกรรมที่หลากหลายของคนแต่ละกลุ่ม”
บริษัทมีการตั้งโรงงานใหม่อีก 5 แห่ง 2 แห่งในที่ตั้งใหม่คือ โรงงานลำพูน และโรงงานสุราษฎร์ธานี และอีก 3 แห่งในที่ตั้งเดิม คือโรงงานชลบุรี โรงงานขอนแก่น และโรงงานบ่อเงิน จังหวัดปทุมธานี ด้วยงบลงทุน 4,000 ล้านบาท
ปัจจุบันได้สร้างแล้วเสร็จ ซึ่งมีกำลังการผลิตอาหารพร้อมรับประทานแช่เย็น และแช่เยือกแข็ง เพิ่มขึ้นอีก 50-70% รองรับการขยายตัวของตลาดที่เพิ่มขึ้น
ช่วยให้อาหารที่ผลิตออกจากโรงงานกระจายไปสู่ร้านค้าในเวลาสั้นลงจากเดิมต้องใช้เวลา 6-7 ชม. ลดเหลือ 2-3 ชม.เท่านั้น
ลงทุนต่อเนื่องให้ทำงานดีข้ึน
CPRAM ยังคงวางแผนเรื่องการลงทุนท่ีต่อเนื่อง เพื่อก้าวให้ทันยุคที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมากขึ้น โดยปกติแต่ละปีจะใช้ 150-200 ล้านบาทในการรักษามาตรฐานในการผลิต แต่ปีนี้ที่ใช้เงินเยอะเพราะไปลงในด้านของเทคโนโลยี โรงงาน ศูนย์วิจัยต่างๆ เป็นการลงทุนล่วงหน้า 5 ปี เพื่อให้มีรายได้แตะ 30,000 ล้านบาท เชื่อว่าทำได้ไม่ยาก
![]()
ความโชคดีของธุรกิจอาหารคือ ภาครัฐยังคงสนับสนุนต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับกลุ่มเกษตรกร เพราะนอกจากความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะช่วยรักษามาตรฐานในการทำงานให้ดีขึ้นด้วย
ด้านการส่งออกต่างประเทศ ก็ยังทรงตัวไม่ได้มีตัวเลขเติบโตที่สูงมาก เป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อยู่ แต่บริษัทจะมองเรื่องของชุมชนในต่างประเทศมากขึ้น เห็นได้จากปีที่ผ่านมา บริษัทให้ความสนใจชาวจีนที่อาศัยในแคนาดา เพราะพฤติกรรมการกินอาหารจะชอบรสชาติที่ใกล้เคียงกัน
ซึ่งขณะนี้มีการส่งออกไปแล้วกว่า 14 ประเทศ แต่ก็ยังมองหาประเทศใหม่ๆ ซึ่งกำลังซื้อในประเทศก็ยังดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสะดวกในการหาซื้อ และคนยุคใหม่ชอบความสะดวกรวดเร็ว กินเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นโอกาสของบริษัทที่มีการเติบโตที่ดี
ยุคที่ 7 คือ “ยุคศรีอัจฉริยะ”
ซีพีแรมเดินทางมาถึงปัจจุบันเป็น ยุคที่ 7 คือ “ยุคศรีอัจฉริยะ“ แต่ละยุคใช้เวลา 5 ปี ทำให้ในยุคนี้ซีพีแรมยกระดับขีดความสามารถขององค์กรด้วย CPRAM 4.0 ขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยี และเป็นผู้นำ 3S (FOOD SAFETY, FOOD SECURITY, FOOD SUSTAINABILITY) สู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารของโลก
รวมถึงกำหนดยุทธศาสตร์องค์กรยุคที่ 7 ระยะ 5 ปีด้วย “CPRAM Transformation Roadmap” ซึ่งประกอบด้วย
- Organization Transformation,
- New Business (Vending machine, Catering Service),
- Digitalization, Robotization,
- และจัดตั้ง FTEC (Food Technology Exchange Center)
ในปี 2019 ด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดทั้งเชิงลึกตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้บริโภค และเชิงกว้างสู่ภูมิภาคทั่วประเทศไทย
บริษัทมีสัดส่วนการยอดขายอาหารพร้อมรับประทาน 65% และเบเกอรี่ 35% ด้วยผลิตภัณฑ์กว่า 900 SKUs
โดยมีสินค้าและบริการในกลุ่มบริษัท ซีพีแรม จำกัด อาทิ แบรนด์เจด ดราก้อน, แบรนด์เลอแปง, แบรนด์เดลี่ไทย, แบรนด์เดลิกาเซีย, แบรนด์ ซีพีแรม แคทเทอริ่ง, และแบรนด์ฟู้ดดี้ดี เป็นต้น
จำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ กว่า 20,000 แห่ง รวมถึงส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
![]()
นอกจากนี้ ซีพีแรมเตรียมจัดตั้ง FTEC (Food Technology Exchange Center) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความร่วมมือ และประสานงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาหาร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
ประกอบด้วยนักวิจัย นักพัฒนา และผู้ใช้ ใน 3 เทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่ Biotech, Digitech และ Robotech สู่ความยั่งยืนของอาหาร รวมถึงเป็นการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมอาหารไทยตั้งแต่ต้นน้ำจวบจนถึงปลายน้ำ
FTEC ยังมีผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศในการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ กับเทคโนโลยี เข้าด้วยกันเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดในการร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร
นอกจากนี้ ซีพีแรมยังวางการใช้เงิน 1% ของยอดขายหรือปีละ 150-200 ล้านบาท ทุ่มให้กับการวิจัยและพัฒนาให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ยกระดับองค์กรสู่ CPRAM 4.0 รวมถึงยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของภูมิภาคเอเซีย
กลุ่มผู้สูงวัยยังให้ความสำคัญ
นายวิเศษ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการที่สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจน ซีพีแรมจึงได้พัฒนาสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งตอนนี้ทำออกมาวางตลาดแล้วคือ ข้าวต้มผู้สูงวัย มีคุณสมบัติเคี้ยวแหลกง่ายดูดซึมได้ดีและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ผู้สูงอายุต้องการ เป็นเพราะกลุ่มผู้สูงอายุต้องการกินอาหารไม่เหมือนคนปกติ
นอกจากนี้ ซีพีแรมยังได้พัฒนาอาหารสุขภาพและอาหารสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม เข้าไปตอบโจทย์ความต้องการ อาทิ กลุ่มผู้ป่วยหรือมีโรคประจำตัว ซึ่งต้องการอาหารคุณสมบัติพิเศษ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ต้องการอาหารที่หวานน้อย หรืออาหารมีความหวานปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอัตราการดูดซึมความหวานต่ำ ไม่ทำให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายปรับเพิ่มขึ้น เป็นต้น



