ยุคสมัยที่คำถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” มีคำตอบยอดฮิตเป็น “YouTuber” หรือ “TikToker” อาจจะผ่านจุดพีคมาแล้ว แต่วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่คำตอบเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝันเฟื่อง หรืออาชีพเสริมหารายได้พิเศษอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็น “กระดูกสันหลัง” ใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทย

เมื่อหน่วยงานระดับนโยบายอย่าง สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จับมือกับ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนตัวจริงอย่าง Tellscore และ Rainmaker จัดงานใหญ่ “CREATORVERSE: Shaping Thailand Creator Economy”

งานนี้ไม่ใช่แค่การมานั่งคุยกันเรื่องยอดวิว แต่เป็นการกาง “พิมพ์เขียว” เพื่อยกระดับระบบนิเวศเศรษฐกิจครีเอเตอร์ไทย (Thailand Creator Economy Ecosystem) ให้เป็นวาระแห่งชาติ เราลองมาเจาะลึกกันว่า จากงานวิจัยและเสียงสะท้อนของคนหน้างาน ทิศทางของวงการนี้จะเป็นอย่างไร และ “Quick Win” ที่จะทำให้คนทำคอนเทนต์ “รอด” ในยุค AI ครองเมืองคืออะไร

จาก Hobby สู่ Real Sector: เมื่อครีเอเตอร์คือ “SME รายย่อย”

สิ่งแรกที่ต้องปรับจูนกันใหม่คือ Mindset ทางเศรษฐกิจ รองศาสตราจารย์ วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ฉายภาพให้เห็นว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กรอบความคิดเรื่องครีเอเตอร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เรามองว่าเป็นงานอดิเรก (Hobby) วันนี้มันคือ “วิชาชีพ” ที่ส่งผลกระทบต่อ GDP ประเทศ

ในวันที่ AI เข้ามา Disrupt ทุกวงการ ประเทศไทยจำเป็นต้องมองหา New S-Curve ใหม่ และ “ทุนทางวัฒนธรรม” บวกกับ “ความสร้างสรรค์” ของคนไทย คือต้นทุนที่เรามีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเราขาด “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ที่เอื้อให้ต้นกล้าเหล่านี้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่

สอวช. มองว่า ครีเอเตอร์ไม่ใช่แค่คนถือกล้องพูดหน้าจอ แต่คือผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ที่ขับเคลื่อนทั้ง Service-based และ Product-based Economy ดังนั้น การพัฒนาคนในเซกเตอร์นี้จึงไม่ใช่แค่สอนตัดต่อ แต่คือการสอนให้ “ทำธุรกิจเป็น” และสร้าง Impact เชิงบวก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการส่งออกคอนเทนต์และวัฒนธรรมไทยไปสู่ตลาดโลก

ผ่า 7 ช่องว่างที่ทำให้ครีเอเตอร์ไทย “ไปไม่ถึงดวงดาว”

ไฮไลต์สำคัญของงานอยู่ที่ผลการวิจัยจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และหัวหน้าโครงการวิจัย ที่ได้ทำการ X-Ray วงการนี้ออกมาจนเห็น “แผล” หรือช่องว่าง (Gaps) สำคัญ 7 ด้านที่ไทยต้องเร่งอุดรอยรั่ว หากอยากให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เกิดขึ้นจริง:

  1. การบ่มเพาะ (Incubation): เรามีคนเก่ง แต่ขาดกระบวนการปั้นดินให้เป็นดาวอย่างเป็นระบบ
  2. แพลตฟอร์ม (Platform): เราพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเป็นหลัก และขาดอำนาจต่อรอง
  3. เทคโนโลยี (Technology): การเข้าถึงเครื่องมือขั้นสูงหรือ AI ยังกระจุกตัว
  4. เงินทุน (Funding): ครีเอเตอร์เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบธนาคารยาก เพราะถูกมองว่าไม่มีสลิปเงินเดือน
  5. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure): อินเทอร์เน็ต พื้นที่สร้างสรรค์ (Co-working space) ที่เข้าถึงได้จริง
  6. มาตรฐานอาชีพ (Professional Standards): ราคากลาง จริยธรรม และสัญญาที่เป็นธรรม
  7. ทักษะและการเรียนรู้ (Skills & Learning): การ Reskill/Upskill ให้ทันอัลกอริธึมที่เปลี่ยนทุกวัน

ดร.สกุลศรี ชี้ให้เห็นว่า ทางรอดของครีเอเตอร์ยุคใหม่คือการผสมผสานระหว่าง Entrepreneurial Skill (ทักษะผู้ประกอบการ) และ Domain Knowledge (ความรู้เฉพาะทาง) หมดยุคของการทำคอนเทนต์แบบ “จับฉ่าย” แต่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เล่าเรื่องเป็น เพื่อเติบโตเป็น Creatorpreneur ที่แท้จริง

เจาะลึกโมเดลพีระมิด: แผนดัน “มือสมัครเล่น” สู่ “ธุรกิจข้ามชาติ”

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากข้อมูลในงานนี้ คือการแบ่งสถานะของครีเอเตอร์ออกเป็นลำดับชั้นแบบพีระมิด (Stages of Development) เพื่อวางนโยบายสนับสนุนให้ตรงจุด ไม่ใช่การหว่านแหอีกต่อไป โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงสำคัญ:

1. ฐานพีระมิด: Stage 1-2 (Incubation & Finding Fit)

นี่คือช่วงเริ่มต้นของคนส่วนใหญ่ ปัญหาหลักคือ “ขาดทิศทาง” และ “ขาดเครื่องมือ” ยังจับจุดขายไม่ได้ ขาดทักษะการตลาดดิจิทัล และอุปกรณ์พื้นฐาน ทำให้ความมั่นใจต่ำ

  • นโยบาย Sustainable Economy ที่จะเข้ามาช่วย: เน้นลดอุปสรรคในการเข้าสู่อาชีพ สร้างแรงจูงใจ และปูพื้นฐานจริยธรรม
  • Action Plan: จัดตั้ง Creator Lab หรือ Regional Hub ในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะขั้นต้น ให้มือใหม่ได้มีพื้นที่และอุปกรณ์ในการลองผิดลองถูก รวมถึงการจับคู่มือใหม่กับแบรนด์หรือผู้ประกอบการ เพื่อสร้างโอกาสแรกในการทำงาน

2. กลางพีระมิด: Stage 3-4 (Finding Traction & Going Pro)

กลุ่มนี้คือหัวใจสำคัญของนโยบาย “Quick Win” เป็นกลุ่มที่มีฐานแฟนคลับแล้ว มีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่ติดกับดัก “One-person show” คือทำงานคนเดียว ขยายสเกลไม่ได้ เปลี่ยนตัวเองจาก “คนรับจ้าง” เป็น “เจ้าของธุรกิจ” ไม่เป็น

  • นโยบาย Quick Win ที่จะเข้ามาช่วย: เร่งเครื่องผลักดันให้กลุ่มนี้กลายเป็น “ผู้ประกอบการ” เต็มตัว
  • Action Plan:
  • จัดตั้ง Advanced Creator Business Incubator & Accelerator เพื่อสอนการบริหารธุรกิจ
  • สร้าง Matching Platform จับคู่ครีเอเตอร์กับแหล่งทุนและอุตสาหกรรม
  • ผลักดันให้ใช้ครีเอเตอร์เป็น Strategic Partner กับอุตสาหกรรมอื่น เช่น การท่องเที่ยว หรือ Soft Power
  • พัฒนา กองทุนสนับสนุนครีเอเตอร์ (Creator Fund) เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในการขยายทีม

3. ยอดพีระมิด: Stage 5 (Scaling)

กลุ่มที่พร้อมบินเดี่ยว มีรายได้มั่นคงและระบบหลังบ้านพร้อม เป้าหมายคือการโกอินเตอร์

  • นโยบาย Scaling: ขยายตลาดสู่ Local-Global และเจรจากับแพลตฟอร์มต่างชาติเพื่อดึงรายได้กลับเข้าประเทศ รวมถึงการสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน

เสียงจากเอกชน: “หยุดทำแอปฯ เอง แล้วหันมาหนุนภาษีเถอะ”

ในวงเสวนา ภาคเอกชนได้สะท้อนความเจ็บปวด (Pain Points) ที่ตรงไปตรงมาและน่าสนใจมาก

คุณสุวิตา จรัญวงศ์ แม่ทัพแห่ง Tellscore แพลตฟอร์ม Influencer Marketing เบอร์ต้นของไทย ย้ำชัดในประเด็นที่ภาครัฐต้องฟังให้หนัก คือ “รัฐควรหยุดทำแพลตฟอร์มเอง” เพราะที่ผ่านมาเราเห็นแอปพลิเคชันของรัฐมากมายที่สร้างมาแล้วร้าง แต่สิ่งที่รัฐควรทำคือการเป็น “ลมใต้ปีก” (Support Role)

สิ่งที่เอกชนต้องการสอดคล้องกับแผนภาพนโยบาย คือ

  • Tax Incentives: สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับแบรนด์ที่จ้างงานครีเอเตอร์ไทย หรือลดหย่อนภาษีให้ครีเอเตอร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • Platform Negotiation: รัฐควรเป็นตัวกลางคุยกับแพลตฟอร์มระดับโลก (Facebook, TikTok, YouTube) เพื่อคืนรายได้สู่ประเทศ หรือปรับอัลกอริธึมที่เอื้อต่อ “คอนเทนต์น้ำดี” ของไทย
  • Safe & Fair Creator Space: สร้างพื้นที่ปลอดภัยและระบบสวัสดิการ เพื่อให้ครีเอเตอร์ทำงานได้อย่างมั่นคง

ทางด้าน คุณขจร เจียรนัยพานิชย์ จาก Rainmaker สื่อที่คลุกคลีกับวงการครีเอเตอร์มากที่สุด สะท้อนภาพความ “เปราะบาง” ของอาชีพนี้ แม้ภาพลักษณ์จะดูสวยหรู รายได้ดี แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง

ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ การจัดตั้ง “สมาคมครีเอเตอร์แห่งประเทศไทย” หรือเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อเป็นปากเสียงและสร้างอำนาจต่อรอง รวมถึงการสร้างมาตรฐานราคากลาง เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากเอเจนซี่หรือแบรนด์ที่ไม่เป็นธรรม นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนจาก “อาชีพอิสระ” ให้เป็น “อาชีพที่มั่นคง”

ก้าวต่อไปของ “คนทำคอนเทนต์”

การจัดงาน CREATORVERSE ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากที่ “ผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองเริ่มมองเห็น “เด็กถือกล้อง” เป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการมีแผน Quick Win ที่ชัดเจนในการดันกลุ่ม Stage 3-4 ให้เป็นธุรกิจ เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนที่จะสร้างเม็ดเงินมหาศาล

ประเด็นที่น่าจับตาที่สุดคือ “ความต่อเนื่อง” บ่อยครั้งที่เราเห็นงานวิจัยดีๆ จบลงแค่บนหิ้ง หรือการจัดสัมมนาที่จบแล้วก็แยกย้าย สิ่งที่วงการต้องการตอนนี้ไม่ใช่แค่แผนสวยหรู แต่คือ Actionable Policy ที่จับต้องได้ทันที เช่น การตั้งกองทุนสนับสนุน หรือ Regional Hub ที่เกิดขึ้นจริง

ในมุมมองของ Thumbsup เราเชื่อว่า “คอนเทนต์คือทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด” ของประเทศไทย เรามีเรื่องเล่า มีวัฒนธรรม มีความสนุกอยู่ใน DNA หากรัฐสามารถปลดล็อกเรื่อง “มาตรฐานวิชาชีพ” และ “แหล่งเงินทุน” ตามแผนที่วางไว้ เราอาจจะได้เห็นยูนิคอร์นตัวใหม่ของไทย ไม่ได้มาจาก Tech Startup จ๋าๆ แต่มาจากครีเอเตอร์ที่เปลี่ยน Soft Power ให้เป็น Hard Currency ได้จริง

ถึงเวลาแล้วที่คำว่า “ฝากร้านหน่อย” จะเปลี่ยนเป็น “ฝากเศรษฐกิจชาติหน่อย” ในมือของครีเอเตอร์ทุกคน