MrBeast

ในโลกของ Creator Economy ชื่อของ MrBeast หรือ Jimmy Donaldson คือบรรทัดฐานของความสำเร็จสูงสุด ด้วยยอดผู้ติดตามหลายร้อยล้านคนและมูลค่าอาณาจักรธุรกิจที่พุ่งสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในมุมมองของ Reed Duchscher อดีตผู้จัดการส่วนตัวและแม่ทัพใหญ่แห่ง Night บริษัท Talent Management ชื่อดัง เขากลับมองว่า MrBeast อาจเป็น คนสุดท้าย ที่สามารถก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ระดับมวลชนได้กว้างขวางขนาดนี้

คำถามที่นักการตลาดและนักสร้างคอนเทนต์ต้องเผชิญในปี 2025 คือ หากแม้แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ YouTuber ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังบอกว่ายุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป เราควรจะปรับกลยุทธ์อย่างไร?

MrBeast

กำแพงที่มองไม่เห็นระหว่าง Megastar และผู้ชม

เหตุผลหลักที่ Duchscher ยกขึ้นมาอ้างถึงคือความฉลาดของอัลกอริทึมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น YouTube หรือ TikTok ที่หันมาให้ความสำคัญกับการตอบสนองความสนใจรายบุคคล มากกว่าการผลักดันคอนเทนต์กระแสหลัก

ในอดีต แพลตฟอร์มอาจเลือกดัน คนดัง ให้ทุกคนเห็นเพื่อสร้างจุดยึดเหนี่ยวของชุมชน แต่ปัจจุบัน อัลกอริทึมทำงานแบบ Vertical Segmentation อย่างสมบูรณ์ หากคุณสนใจเพียงแค่การท่องเที่ยว รถยนต์ หรือสุขภาพและบิวตี้ ฟีดของคุณจะถูกกักขังอยู่ในแนวดิ่ง หรือ Vertical นั้น ๆ โอกาสที่ครีเอเตอร์สายแมสอย่าง Charli D’Amelio หรือ Khaby Lame จะหลุดเข้าไปปรากฏในฟีดของคนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงยากขึ้นมหาศาล

นี่คือกลยุทธ์ของแพลตฟอร์มที่ต้องการ กระจายความเสี่ยง การพึ่งพาซูเปอร์สตาร์เพียงไม่กี่คนทำให้แพลตฟอร์มมีความเปราะบาง การมีครีเอเตอร์เฉพาะกลุ่มจำนวนมหาศาลที่คอยดึงดูดผู้ใช้งานในเซกเมนต์ที่ต่างกันออกไป จึงเป็นผลดีต่อเสถียรภาพและระยะเวลาการใช้งานบนแพลตฟอร์มมากกว่า

จาก “Mass Reach” สู่ “Hyper-Niche”

Duchscher ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า การสร้างธุรกิจจากฐานผู้ชมขนาดเล็กแต่มีความภักดีสูง (Hyper-niche, scaled audience) นั้นทำได้ง่ายและสมเหตุสมผลกว่ามาก

ในมุมมองของนักการตลาด นี่คือการเปลี่ยนผ่านจาก Quantity สู่ Relevance ตัวอย่างเช่น

  • ครีเอเตอร์สายอาหาร: ไม่จำเป็นต้องมีคนดู 100 ล้านคนเพื่อขายหนังสือทำอาหาร แต่ต้องการ คนที่ทำอาหารจริง ๆ 1 ล้านคนที่พร้อมจะซื้อทุกอย่างที่เขาแนะนำ
  • ครีเอเตอร์สายคนรักต้นไม้: สามารถสร้างแบรนด์อุปกรณ์ทำสวนที่มียอดขายถล่มทลายได้โดยไม่ต้องอาศัยกระแส Viral ระดับโลก

บริษัทจัดการศิลปินอย่าง Night เองก็กำลังปรับทิศทางจากการไล่ล่าหา The Next MrBeast มาเป็นการค้นหาครีเอเตอร์ที่เป็น เจ้าป่า ใน Niche ของตัวเอง แม้จะมีฐานแฟนคลับที่เล็กกว่าแต่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อที่สูงกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อครีเอเตอร์ไม่ใช่แค่ “ช่องทางโฆษณา”

แนวโน้มที่ชัดเจนที่สุดในปี 2025 คือการที่นักลงทุนระดับ Venture Capital เริ่มมองครีเอเตอร์ในฐานะ Founders ไม่ใช่แค่ Influencers

Megan Lightcap จาก Slow Ventures เผยข้อมูลสำคัญว่าทางบริษัทพร้อมเขียนเช็คระดับ 1-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับครีเอเตอร์ที่มีความเป็น ผู้ประกอบการ สูง มีเก่งใน Vertical Expertise ที่ตัวเองถนัด และมีแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจนเหนือกว่าแค่การรับจ้างรีวิวสินค้า

ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่า Deep Trust หรือความเชื่อใจในระดับลึกคือสิ่งสำคัญชิ้นใหม่ของโลกโซเชียล ครีเอเตอร์ที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาหรือตอบโจทย์คนในกลุ่มเฉพาะของตนได้ จะมีมูลค่าทางธุรกิจสูงกว่าครีเอเตอร์สายไลฟ์สไตล์ที่เน้นแค่ยอดวิวแต่ขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

Thumbsup มองว่า บทเรียนจาก Reed Duchscher ย้ำเตือนเราว่า ยุคของการเหวี่ยงแหจับปลาในมหาสมุทรโซเชียลกำลังจะหมดไป

  1. Stop Chasing Vanity Metrics: เลิกยึดติดกับยอดผู้ติดตามหรือยอดวิวในระดับล้าน หากกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นไม่ใช่คนที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต
  2. Invest in Verticals: มองหาครีเอเตอร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในนิชเฉพาะทาง การทำงานร่วมกับ Micro-influencers 10 คนในสายงานที่ตรงจุด อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการจ้าง Megastar 1 คน
  3. The Rise of Creator-Owned Brands: แบรนด์ต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันจากตัวครีเอเตอร์เอง เช่น Feastables ของ MrBeast ที่กำลังเขย่าวงการขนมหวาน การเป็นพาร์ทเนอร์กับครีเอเตอร์ในระยะยาว เพื่อร่วมสร้างแบรนด์ อาจเป็นทางเลือกที่มั่นคงกว่าการจ้างงานเป็นครั้งคราว

ในวันที่อัลกอริทึมเลือกที่จะ ขัง ผู้คนไว้ในสิ่งที่เขารัก หน้าที่ของนักการตลาดคือการตามเข้าไปอยู่ในห้องนั้นให้ถูกห้อง ไม่ใช่การตะโกนเรียกจากหน้าประตูบ้านที่ไม่มีใครเปิดออกมามองอีกต่อไป

อ้างอิง: Business Insider

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: