ในยุคที่ใคร ๆ ก็กระโดดลงสนาม “Influencer Marketing” จนกลายเป็น Red Ocean ที่ดุเดือด สิ่งที่คนทำงานการตลาดต้องเผชิญไม่ใช่แค่การแข่งขันของคอนเทนต์ แต่คือความเฟ้อของตลาด ราคาค่าตัวอินฟลูเอนเซอร์ที่บางครั้งดูไม่สมเหตุสมผล และคำถามตัวโต ๆ จากผู้บริหารว่า “ลงเงินไปแล้วได้ยอดขายจริงหรือเปล่า?” หรือ “คนรีวิวใช้ของจริงไหม?”
วันนี้ Thumbsup มีโอกาสได้เจาะลึกทิศทางธุรกิจของ IdeasLabs (ไอเดียแล็บ) บริษัทที่เริ่มต้นจากการเป็นเอเจนซี่โฆษณา แต่กำลังทรานส์ฟอร์มตัวเองครั้งใหญ่สู่การเป็น MarTech Company สัญชาติไทยที่น่าจับตามอง ภายใต้การนำของ คุณธนดล พิทยานุวัฒน์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง ที่มาเปิดเผยโรดแมปการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปี พร้อมชำแหละอินไซต์ตลาด Influencer มูลค่า 5,000 ล้านบาท ได้อย่างน่าสนใจ
บทความนี้จะพาไปดูว่า ทำไมโมเดล “Omakase” ถึงเป็นคำตอบของการทำเอเจนซี่ และทำไม “หนุ่มสาวโรงงาน และนักเรียนนักศึกษา” ถึงกำลังจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการตลาดกลุ่มใหม่ที่แบรนด์มองข้ามไม่ได้

เมื่อ Agency ต้องกลายร่างเป็น Tech Company
จุดเริ่มต้นของ IdeasLabs คือการเป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้าน KOL มาก่อน แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับ Positioning ครั้งใหญ่ โดยมองว่าลำพังแค่การซื้อมาขายไปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ความเร็วและความแม่นยำที่ลูกค้าต้องการอีกต่อไป จึงแบ่งโครงสร้างธุรกิจออกเป็น 3 Business Units ที่ชัดเจน
คุณธนดลเปรียบเทียบ Business Unit แรกของบริษัทที่เป็น Agency Base ว่าเป็นรูปแบบ “Omakase” (โอมากาเสะ) เปรียบเสมือนเชฟที่คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น KOL, Data หรือ Media มาปรุงเป็นแคมเปญที่ “อร่อย” และ “ถูกปาก” ลูกค้าที่สุด ตาม KPI ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Awareness หรือ Conversion เชฟจะเป็นคนกำหนดและปรุงให้เสร็จสรรพ
แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ Business Unit ที่สอง ซึ่งเป็นหัวใจของการทรานส์ฟอร์ม นั่นคือ Technology & Platform ที่เปรียบเสมือน “ร้านสะดวกซื้อ” หรือ Shelf สินค้า ที่ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกช้อปปิ้งได้เอง ประกอบด้วยแพลตฟอร์มหลักอย่าง KOLNNEX และ KOLAXY (เตรียมเปิดตัวปี 2026)
สิ่งที่ IdeasLabs กล้าทำและแตกต่างจากตลาดคือโมเดล “No Markup” ในแพลตฟอร์ม KOLAXY กล่าวคือ แบรนด์สามารถช้อปปิ้ง KOL ได้ในราคาที่ KOL เป็นคนตั้งเอง 100% โดยที่แพลตฟอร์มไม่บวกราคาเพิ่มแม้แต่บาทเดียว เพื่อแก้ปัญหาความไม่โปร่งใสและ Cost ที่บวมเกินจริงในอุตสาหกรรม นี่คือการประกาศสงครามราคาที่น่าจับตามอง เพราะเป็นการคืนอำนาจให้กับทั้งแบรนด์และครีเอเตอร์อย่างแท้จริง และพยายามสร้าง Standard Price ให้เกิดขึ้นในตลาดที่ราคากระจัดกระจาย

ปฏิวัติวงการ Seeding ด้วย SD Team
หนึ่งในไฮไลต์ที่ Thumbsup มองว่า “Impact” ต่อวงการมาก ๆ คือการแก้ปัญหาเรื่อง Seeding หรือหน้าม้า
เราคุ้นเคยกับการจ้างหน้าม้าไปคอมเมนต์ตามเว็บดราม่า, Pantip หรือ OpenChat ต่าง ๆ ซึ่งในยุคนี้ผู้บริโภคดูออกทันทีว่า “ไม่เนียน” เพราะมักจะเป็นสคริปต์ลอย ๆ หรืออวตารที่ไม่มีตัวตนจริง ทาง IdeasLabs จึงปั้นยูนิต SD Team (Seeding Team) ขึ้นมา โดยเปลี่ยนนิยามจาก “หน้าม้า” เป็น “ผู้ใช้งานจริง”
ระบบนี้จะเปิดรับสมัครคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นดาราหรือเน็ตไอดอล อาจจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือพนักงานโรงงาน โดยใช้ Data และ AI คัดกรองความสนใจ (Interest) และข้อมูลประชากร (Demographic) ให้ตรงกับสินค้า เช่น ถ้าสินค้าคือผ้าอ้อมเด็ก ระบบจะแมตช์งานไปที่ “คุณแม่ตัวจริง” ให้รีวิวจากการใช้จริง หรือถ้าเป็นสินค้าแมส ๆ ก็เจาะไปที่กลุ่มคนทำงานโรงงานที่มีกำลังซื้อจริง
โมเดลนี้ Win-Win ทั้งสองฝ่าย
- แบรนด์: ได้รีวิวที่ Real และตรงกลุ่มเป้าหมาย (Niche Market) ไม่ใช่แค่ยอด Engagement กลวง ๆ เปลี่ยนจากการส่งคนไปคอมเมนต์ เป็นการมอบประสบการณ์สินค้าให้คนใช้จริงแล้วบอกต่อ
- คนทั่วไป: สร้างรายได้เสริมเฉลี่ย 4,000 – 6,000 บาทต่อเดือน
คุณธนดลมองว่านี่คือ CSR ในตัว เพราะช่วยกระจายรายได้สู่คนตัวเล็ก ๆ ในสังคม อย่างกลุ่มพนักงานโรงงานที่มีรายได้ประจำหมื่นต้น ๆ การมีเงินเพิ่มอีกหลายพันบาทต่อเดือนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตพวกเขาได้จริง และทำให้ Ecosystem ของการรีวิวในไทยสะอาดขึ้น น่าเชื่อถือขึ้น
Publisher Network กับการเป็นเจ้าของสื่อในมือ
นอกจากจะเป็นคนกลางแล้ว IdeasLabs ยังผันตัวเป็นเจ้าของสื่อ (Publisher) เองด้วยใน Business Unit ที่สาม โดยมีเพจเรือธงอย่าง ProHub ที่มีผู้ติดตามกว่า 5 ล้านคน และเพจรีวิวสินค้าอย่าง “เลือกซื้อเก่ง” รวมถึง “Cafe Story X ติดเล่า”
กลยุทธ์ Content ของที่นี่แบ่งเป็น 3 แกนหลักเพื่อปิดการขายอย่างสมบูรณ์แบบ
- Promotion: บอกราคาและความคุ้มค่า โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม (ProHub)
- Product Deep Dive: เจาะลึกส่วนผสม คุณภาพ ความบริสุทธิ์ของสินค้า (เลือกซื้อเก่ง)
- Emotional/Mood: ภาพสวย บรรยากาศดี สร้างความอยากได้ผ่านไลฟ์สไตล์ (Cafe Story X ติดเล่า)
ล่าสุดยังจับเทรนด์ Real-time Content ด้วยเพจ “ป้ายเหลือง” โดยตั้งเป้าขยายอาณาจักรสื่อในมือให้ครบ 12 เพจ ทั้งการปั้นเองและ M&A เพื่อให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ การมีสื่อในมือทำให้ IdeasLabs ไม่ต้องง้อแพลตฟอร์มอื่นทั้งหมด และสามารถ Set Standard ราคาตลาดได้ด้วยตัวเอง เป็นทางเลือกให้ลูกค้าแบรนด์นอกเหนือจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเพียงอย่างเดียว
ภูมิทัศน์ Influencer ที่เปลี่ยนไป
จากข้อมูลของ IdeasLabs ชี้ให้เห็นว่า ตลาด Influencer Marketing ปี 2568 จะมีมูลค่าแตะ 5,000 ล้านบาท (เฉพาะส่วนแบ่งตลาดนี้ ไม่รวมงบโฆษณาทั้งหมด) แต่เม็ดเงินไม่ได้เทไปที่ดาราเบอร์ใหญ่เหมือนเมื่อก่อน
- TikTok คือพระเอก: แพลตฟอร์มที่มาแรงที่สุดสำหรับกลุ่ม Nano-Micro Influencer คือ TikTok เพราะสามารถวัดผล Conversion (ยอดขาย) ได้ชัดเจนที่สุดผ่านระบบตะกร้า (Affiliate) ลูกค้ากว่า 50-60% รีเควสแพลตฟอร์มนี้
- YouTube คือของแพง: สำหรับแบรนด์ที่มีงบจำกัด YouTube กลายเป็นตัวเลือกท้าย ๆ เพราะต้นทุนสูง และการปั้น Influencer หน้าใหม่ใน YouTube ให้เกิดนั้นยากกว่า TikTok มาก ต้องใช้ความพยายามสูงกว่าจะสร้างฐานแฟนคลับ
- Nano-Micro กินรวบ: เทรนด์ตอนนี้ แบรนด์ไม่ได้มองหาแค่ Awareness แต่ต้องการ Conversion กลุ่ม Nano-Micro Influencer จึงตอบโจทย์กว่าเพราะมีความ Niche และผู้ติดตามเชื่อใจมากกว่า แม้กระทั่งแบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Nike หรือ Adidas ก็เริ่มถูกแบรนด์ทางเลือกที่เจาะกลุ่ม Niche แย่งชิงพื้นที่ไปบ้างแล้ว
เป้าหมายเข้าตลาดหลักทรัพย์
ในเชิงธุรกิจ IdeasLabs ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ (2567) ไว้ที่ 250 ล้านบาท (โต 25%) และปีหน้า (2568) ที่ 300 ล้านบาท โดยมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายใน 5 ปี โดยตอนนี้เริ่มมีการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบบัญชี ERP และ Finance แล้ว
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักยังมาจาก Tech/Platform (KOLNNEX) ถึง 60% ตามด้วย Agency 30% และ Publisher 10% ซึ่งการเข้าตลาดหุ้นจะช่วยระดมทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Data ให้ไปได้ไกลกว่าเดิม และรองรับการขยายตัวสู่ตลาดอาเซียน เพื่อให้ MarTech สัญชาติไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค
Thumbsup มองว่า การขยับตัวของ IdeasLabs สะท้อนภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมโฆษณาไทยได้ชัดเจนมากว่า “Data” และ “Technology” ไม่ใช่แค่ส่วนเสริมอีกต่อไป แต่มันคือ “กระดูกสันหลัง” ของธุรกิจที่ต้องการความแม่นยำ
ในอดีต เราอาจเลือก Influencer จาก “ความชอบ” หรือ “ยอดไลก์” แต่โมเดลของ IdeasLabs ที่ใช้ Data-Driven และการแบ่ง Tier Influencer ที่ชัดเจน (Nano/Micro) รวมถึงการดึงคนธรรมดามาเป็น Seeder พิสูจน์ให้เห็นว่า ตลาดกำลังโหยหา “ความจริงใจ” (Authenticity) และ “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” (Conversion) มากกว่าแค่ภาพลักษณ์ที่สวยหรู
สิ่งที่น่าชื่นชมคือโมเดลการสร้างรายได้ให้กับคนตัวเล็ก ๆ (Seeding Team) ซึ่งเป็นการแก้ Pain Point เรื่องหน้าม้าปลอมได้ฉลาดและยั่งยืน เพราะเมื่อคนรีวิวคือผู้ใช้จริง สินค้านั้นก็จะถูกบอกต่อด้วยภาษาของมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่ภาษาโฆษณาที่แข็งทื่อ
สำหรับนักการตลาด นี่คือสัญญาณเตือนว่า ถ้าแบรนด์ของคุณยังยึดติดกับการหว่านงบไปกับ Macro Influencer โดยไม่ดู Conversion หรือยังใช้หน้าม้าแบบเดิมๆ คุณอาจกำลังตกขบวนรถไฟสาย MarTech ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขบวนนี้
อ่านเพิ่มเติม



