บริษัท Kintone(Thailand) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Cybozu ผู้ให้บริการโซลูชันกรุ๊ปแวร์สำหรับธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น สามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ให้เกิดการทำงานอย่างเป็นระบบ รวดเร็ว และทันสมัย เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ภายใต้รูปแบบการทำงานแบบ Digital Workplace ทำงานได้จากทุกที่ (Work from Anywhere) อย่างง่าย เตรียมสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยด้วยเทคโนโลยีแบบ Do-It-Yourself (DIY) ผ่านแพลตฟอร์มเวิร์กเพลสแบบครบวงจรที่สามารถปรับแต่งได้เองสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568
นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Kintone(Thailand) จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูลของ Deloitte (ดีลอยท์) ประเทศไทย รายงานว่า ระหว่างปี 2564-2566 องค์กรส่วนใหญ่เร่งรัดการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดการระบาดของ Covid-19 ทุกองค์กรยิ่งเห็นความสำคัญของการปรับแผนการทำงานให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้น เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรชั้นนำ แต่ยังมีองค์กรหลายแห่งไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดประสบการณ์และการดำเนินการล่าช้า
ต่อมาในปี 2022-2023 หลายองค์กรประสบความสำเร็จในการ Digital Transformation เนื่องจากเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับองค์กรมากขึ้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงจึงอยู่ในระดับปานกลางตลอดปี 2023
ปัจจุบันประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) มากกว่า 99% และกำลังอยู่ในช่วงที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับประเทศสู่จากรายได้ปานกลางสู่รายได้สูงผ่านการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเน้นการเสริมสร้างทักษะดิจิทัลและการเพาะบ่มเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
โดยมีประชากรกว่า 80% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ผ่านการผลักดันนำเทคโนโลยีมาใช้งานที่รวดเร็ว SMBs แสดงความสนใจอย่างมากในการลงทุนเปลี่ยนโฉมสู่ออฟฟิศดิจิทัลมากถึง 43% แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้ ความท้าทายที่บริษัทในประเทศไทยกำลังเผชิญกันอยู่ ก็คือ การขาดเครื่องมือดิจิทัลที่เหมาะกับกระบวนการทำงานอันมีเอกลักษณ์เฉพาะและระบบที่มีอยู่ของประเทศไทย ซึ่งบริษัทหลายแห่งพยายามนำเครื่องมือดิจิทัลมาปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานกันอย่างกระตือรือร้น แต่เครื่องมือที่ผลิตในต่างประเทศมักไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้
อุปสรรคสำคัญเกิดจาก เครื่องมือดิจิทัลที่ผลิตจากต่างประเทศมักไม่สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับกระบวนการทำงานและระบบเดิมที่ใช้อยู่ของประเทศไทย แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นตลาดที่เปิดรับโซลูชันต่างประเทศจากตลาดที่มีมูลค่าสูง เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์
แต่อุปสรรคทางวัฒนธรรมยังคงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับผู้ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก ทำให้การที่จะสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ ต้องอาศัยความพยายามร่วมกันในการปรับปรุงทักษะดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เต็มรูปแบบ อีกทั้งความท้าทายในกรณีของอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น เกษตรกรรมและการผลิต พนักงานยังประสบปัญหาในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลกมาใช้ ซึ่งหมายถึงช่องว่างด้านทักษะที่สำคัญ คือ SMBs ยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่มีความสามารถในการพัฒนาระบบ และการขาดทักษะด้านดิจิทัล หรือถึงแม้จะมีบุคลากรดังกล่าวก็ตาม การดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดี เนื่องจากการพัฒนาและการบำรุงรักษาต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ชนบทก็ยังเกิดความไม่เท่าเทียมกัน โดยมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่จำกัดและระบบที่ล้าสมัยในบางธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปัจจัยทางวัฒนธรรม เช่น การสื่อสารแบบพบเจอกัน รวมถึงทัศนคติที่แตกต่างกัน บางครั้งอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำเครื่องมือดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ซึ่ง Kintone มองเห็นปัญหาในส่วนนี้ จึงมุ่งมั่นสร้างระบบการทำงานที่ใช้งานง่าย แม้ผู้ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมก็สามารถเชื่อมต่อระบบของ Kintoneให้ใช้งานควบคู่กับระบบที่มีอยู่เดิมได้ สนับสนุนการทำ Digital Transformation ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือเป้าหมายสำคัญของ Kintone
Kintone ได้ทำการศึกษาตลาดดิจิทัลโซลูชันในประเทศไทยมากว่า 4 ปี และได้ค้นพบ Pain Point จึงนำโซลูชันพื้นที่การทำงานรูปแบบ DIY ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือปรับแต่งได้เองแบบครบวงจร มุ่งเน้นการแบ่งปันฐานข้อมูล และมีแอปพลิเคชัน Database และ Workflow เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนโฉมออฟฟิศรูปแบบเดิม สู่องค์กรดิจิทัลแบบ Do-It-Yourself (DIY) โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMBs) ที่มีกำลังหรือเงินทุนไม่มากพอสร้างระบบเทคโนโลยีของตัวเอง สามารถใช้บริการของ kintone ที่มีค่าบริการที่ต่ำ คือลูกค้าจ่ายค่าบริการเพียงค่าการสมัครล็อกอินเข้ามาใช้งานเท่านั้น เบื้องต้น 1 บริษัทที่ต้องการให้มีพนักงานเข้าใช้งาน 5-10 คน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนแค่เพียงประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น แต่ได้ประสิทธิภาพการทำงานไม่แพ้องค์กรที่ทันสมัยขนาดใหญ่ Kintoneมีความพร้อมรองรับในการสำรองข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย โดยตอบสนองไปตามความต้องการของผู้ใช้งานผ่านการสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการด้วยตนเองได้แบบครบวงจรแบบ all-in-one พร้อมออกแบบ Workflow ในองค์กรได้แบบไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก และเชื่อมต่อทุกระบบผ่าน Cloud Service ทำให้พนักงานที่อยู่ที่สำนักงาน บ้าน หรือประชุมกับลูกค้าก็สามารถเข้าถึงระบบการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ