ในช่วงที่ทุกคนมีความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาใหญ่ๆ อย่างเศรษฐกิจโลก หรือในแง่ของการลดงบใช้จ่ายทั้งแง่การตลาด รวมทั้งที่หลายคนกังวลในเรื่องของนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวลงจากที่เคยคาดการณ์ว่าจะแตะ 39 ล้านคน อาจลดลงเหลือแค่ 36 ล้านคน รวมทั้งการใช้จ่ายของคนในประเทศก็มีทั้งแง่บวกและลบชัดเจนขึ้น
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณวิชิต คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตลาดต่างประเทศ (ทีม Bridge) บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด เล่าว่า แม้เศรษฐกิจไทยต้นปี 2568 จะมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายเศรษฐกิจโลกและความผันผวนภายในประเทศ แต่ก็ยังมองเห็น “สัญญาณบวก” ที่จะช่วยให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่รอดได้ในนอนาคต
คุณภวัต เล่าว่า ด้วย 4 ปัจจัย คือ ยอดขายรถยนต์ในงาน Motor Show 2025 (ไม่รวมมอเตอร์ไซค์) มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 77,379 คัน เพิ่มขึ้น 41.6% จากปี 2567 แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นสัดส่วนยอดจอง EV สูงถึง 65% ของทั้งหมด แต่ก็ยังสะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภค กำลังซื้อและศักยภาพในการจับจ่าย ตามมาด้วยเรื่องของเทศกาลสงกรานต์ที่รัฐบาลจัดงานมหาสงกรานต์ระดับโลก Maha Songkran Festival 2025 ช่วงวันที่ 11 – 15 เมษายน ณ ท้องสนามหลวง มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.1 ล้านคน ช่วยสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 4,097.17 ล้านบาท
ตามมาด้วยการที่รัฐบาลประกาศให้ปี 2025 เป็น Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 จะเป็นการจัดอีเวนต์ต่อเนื่องมีนาคม–กันยายน เน้นช่วงโลว์ซีซัน มีเป้าหมายว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 39 ล้านคน และสุดท้ายเรื่องของการที่สหรัฐฯ ชะลอขึ้นภาษีนำเข้า 90 วันทั่วโลก ส่งสัญญาณว่าความเข้มข้นด้านนโยบายอาจมีการทบทวน หากธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมและปรับตัวได้ด้วยแผนงานที่ชัดเจน ก็น่าจะช่วยให้ไปต่อได้แน่นอน
ใช้การซื้อสื่อแบบผสมช่วยลดการใช้สื่อดิจิทัลที่สิ้นเปลือง
ทาง MI Group ได้คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณา-การตลาด 2568 ว่าจะโตไม่แรง แต่ยังเดินหน้าได้ โดยตลาดโฆษณาไทยคาดโต +2.2% มูลค่ารวมประมาณ 87,666 ล้านบาท (ปรับลดจากคาดการณ์เดิม +4.5%) ส่วนสื่อดิจิทัลยังเติบโตที่ +10% (คาดการณ์โดย DAAT) แต่เริ่มแสดงสัญญาณแข่งขันรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะ “สงครามแย่งความสนใจ (Attention War)”
คุณภวัตมองว่า ตอนนี้นักการตลาดของแบรนด์และเอเจนซีใช้แผนการตลาดแบบ go digital 100% นั้น ตอนนี้ต้องยอมรับว่าเป็น red ocean แล้ว แม้จะมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ย่อมมีแบรนด์ที่ล้มเหลวเช่นกัน เพราะไม่ใช่ทุกธุรกิจที่เหมาะสมกับการใช้ดิจิทัลหาก target ไม่ตรง และยุคนี้ไม่ใช่ว่าคนไทยทุกคนใช้ดิจิทัลแบบ 100%
“ผมได้คุยกันในสมาคมฯ ซึ่งทำงานร่วมกับหลายเอเจนซี และมองไปในทางเดียวกันว่า ตอนนี้สื่อแบบดิจิทัลใกล้ถึงจุดอิ่มตัวละ มันจะมีทั้งแบรนด์ที่ใช้แล้วสำเร็จกับแบรนด์ที่ทำแล้วจมหาย ดังนั้น อยากให้มองกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก และเลือกใช้การซื้อสื่อแบบผสม (Media Mix) เพราะจะทำให้อีโคซิสเต็มส์ของการใช้งานสื่อตรงจุดและดีกว่าการใช้แบบ go digital เพียงอย่างเดียว”
จากการประเมินจากตลาดและคาดการณ์โดย MI LEARN LAB ซึ่งรวมถึงตัวเลขตกสำรวจสำหรับการใช้งาน Media Mix ของปีนี้ พบว่า
- ดิจิทัล 50% (โดยมี KOLs/Influencers กว่า 3 ล้านราย ครองเม็ดเงินกว่า 60% ของดิจิทัล)
- ออฟไลน์ 50% (รวมโทรทัศน์, สื่อนอกบ้าน ฯลฯ)
คุณภวัต ยังย้ำด้วยว่าการทำแบบการตลาดและใช้สื่อแบบผสมผสานคือเรื่องที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ แม้ดิจิทัลจะต้นทุนน้อยกว่าและเข้าถึงคนมากกว่า แต่ต้องยอมว่ามีการหลอกลวงของมิจฉาชีพก็เยอะ ทำให้แบรนด์มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้สื่อ OOH แข็งแรงมาก ยิ่งแบรนด์ไหนอยากอิมแพคและให้สินค้าที่เขามีพรีเซนเตอร์ได้ขึ้นป้ายโชว์ยิ่งทำให้ตอกย้ำแบรนด์ดีขึ้น หรือทีวีเองก็ช่วยฉายเสน่ห์ของแบรนด์ในกลุ่มอื่นๆ ได้ดีกว่า เพราะ feed ของ Facebook ถ้าอันไหนไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมันจะไม่ยิงไปเลย อาจทำให้เสียโอกาสลูกค้าใหม่ หรือ เข้าถึงลูกค้าเก่าที่อาจลืมเราไปแล้ว
8 กลุ่มเป้าหมาย “ต้องโฟกัส” ปี 2568
อย่างไรก็ตาม MI GROUP ระบุว่า ปีนี้ไม่ใช่เวลายิงโฆษณากว้างๆ หรือจำกัดวงแคบจนเกินไป แต่ต้อง “เล็งแหลม” และกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไปยังกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายสินค้าและบริการในหมวดที่แตกต่างกัน
- แรงงานเกษตร “ผู้ปั้นอนาคตจากผืนดิน” จำนวน 12 ล้านคน
กลุ่มแรงงานฐานรากที่ยังคงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง แม้จะไม่อยู่ในเมือง แต่เข้าถึงเทคโนโลยีและโซเชียลมากขึ้นผ่านมือถือ พวกเขาเป็นกำลังซื้อสำคัญในตลาด FMCG และสินค้าจำเป็นที่ตอบสนองต่อความต้องการและวิถีชีวิตของพวกเขา รวมถึงเปิดรับนวัตกรรมเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, สื่อท้องถิ่น (ป้าย/วิทยุ), อีเวนต์ชุมชน/งานประเพณี - แรงงานบริการ “คนจริงหลังฉากเศรษฐกิจ” จำนวน 5 ล้านคน
กลุ่มสำคัญที่สร้างประสบการณ์บริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ไปจนถึงภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว พวกเขาคือฟันเฟืองที่มักถูกมองข้าม แต่มีพลังการจับจ่าย และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสื่อผ่านมือถือสูงมาก
ช่องทางแนะนำ: Facebook, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/ตลาดเช้า/ห้างฯ), บูธกิจกรรมในบริเวณแหล่งชุมชนและที่ทำงาน - Gen Z (13–29 ปี) “เสียงใหม่แห่งอนาคต” จำนวน 13 ล้านคน
กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยามโลกในแบบของตัวเอง ทั้งพฤติกรรม การซื้อสินค้า และการเสพสื่อ พวกเขาคือ Trend Setter ตัวจริง แรงขับเคลื่อนของทุกแพลตฟอร์มพฤติกรรมไวต่อกระแส ต้องการการสื่อสารที่สร้างการมีส่วนร่วมและให้คุณค่าความเป็นตัวเอง
ช่องทางแนะนำ: TikTok, IG, YouTube, X, Gaming-Discord, สื่อนอกบ้าน (Transit, ใกล้สถานศึกษา/ห้างฯ) - พนักงานบริษัท “มนุษย์เงินเดือนหัวใจนักสู้” จำนวน 18 ล้านคน
กลุ่มชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง มีกำลังซื้อ มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องการใช้จ่าย สุขภาพ และความมั่นคง เป็นกลุ่มที่เปิดรับข้อมูลเยอะ แต่เลือกเชื่อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และให้คุณค่ากับแบรนด์ที่เข้าใจชีวิตจริง
ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, YouTube, LinkedIn, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ออฟฟิศ), Roadshow ทดลองใช้/สมัครบริการ - กลุ่มใกล้เกษียณ/ผู้สูงวัย “พลังเงียบที่ยังเปล่งเสียง” จำนวน 18.6 ล้านคน
กลุ่มใหญ่มากที่มีทั้งเวลาและกำลังซื้อ พร้อมดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ต้องการความมั่นใจในแบรนด์และความคุ้มค่า เป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้ไวกับเทคโนโลยี แต่ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ที่เชื่อถือได้
ช่องทางแนะนำ: Line, TV, YouTube, Facebook, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ห้างฯ/โรงพยาบาล), บูธกิจกรรม (ตรวจสุขภาพ/แจกสินค้าตัวอย่าง) - Micro Sellers (พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์/ออฟไลน์) “เสาหลักเศรษฐกิจฐานราก” จำนวน 4 ล้านคนขึ้นไป
เจ้าของร้านเล็กๆ ที่ไม่เล็กในพลัง พวกเขาใช้ทุกเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ ทั้งไลฟ์สด ขายหน้าร้าน และโซเชียล แบรนด์ที่เข้าถึงและสนับสนุนพวกเขาได้ จะได้พลังจากปากต่อปากที่มหาศาล
ช่องทางแนะนำ: Facebook Group, TikTok, ป้ายตลาด/หน้าร้านขายส่ง,อีเวนต์ฝึกอาชีพ/แจกแพ็กเกจเริ่มต้น - แรงงานต่างด้าว “นักสู้แดนไกล” จำนวน มากกว่า 10 ล้านคน
ผู้ที่เดินทางมาทำงานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย พวกเขาไม่ได้แค่ทำงาน แต่ใช้จ่าย กิน เที่ยว และสร้างชุมชน ต้องการสื่อสารผ่านภาษาของเขา และช่องทางที่พวกเขาใช้จริง
ช่องทางแนะนำ: Facebook ภาษาถิ่น, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/โชวห่วย/CVS) ป้ายที่พัก/นิคมฯ/โรงงาน, บูธแจกซิม/สินค้าตัวอย่าง - นักท่องเที่ยวต่างชาติ “สายเที่ยวสายเปย์” จำนวนเป้าหมาย 36–39 ล้านคน
กลุ่มที่เดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ พร้อมใช้จ่ายกับสิ่งที่แตกต่าง คุ้มค่า และสร้างความประทับใจ ให้ความสำคัญกับความสะดวก ความต่างเฉพาะถิ่น และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์
ช่องทางแนะนำ: ป้ายสนามบิน/แลนด์มาร์ก/ แหล่งท่องเที่ยว, Travel Platform, รีวิว
คุณวิชิต ได้แนะนำกลุ่มที่น่าสนใจว่า แม้ตลาดจีนจะหายจากหลายปัญหา แต่เอาจริงก็ช่วยคัดกรองทัวร์ศูนย์เหรียญ ทัวร์ที่เน้นจำนวนไม่เน้นคุณภาพออกไปเยอะ เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มคุณภาพและเที่ยวเอง เขาก็ยังเดินทางมาอยู่ต่อเนื่อง อาจจะจำนวนไม่เยอะแต่ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 36 ล้านคน
ส่วนกลุ่มคนแรงงานต่างด้าวหรือชาวเมียนมาร์ที่มาอยู่ในไทยกันอย่างยาวนาน ช่วงแรกอาจจะเข้ามาเพื่อหาเงินส่งกลับครอบครัว ตอนนี้ก็หาเงินเพื่อลงหลักปักฐานในไทยมากขึ้น ทำให้เรายังคงมีนักท่องเที่ยวในอีกหลายประเทศที่ยังคงเดินทางมาในไทยเช่นเดิม และแบรนด์ก็ต้องเริ่มขยับให้สินค้าของตัวเองเข้าถึงคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น ยิงแอดแบบเฉพาะชาวต่างชาติ ส่วนลดหรือสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ก็จะช่วยให้พวกเขานึกถึงหรือกลับมาใช้ซ้ำเวลามาไทย ซึ่งอุตสาหกรรมที่ควรเร่งทำ ก็เช่น ค้าปลีก คอสเมติก ขนมขบเคี้ยว ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
อย่าง MI Group เรามีการดูแลข่าวสารสำหรับชาวเมียนมาร์ มีทีมทำเฉพาะเลย เพราะคนเมียนมาร์ในไทย มีกว่า 10 ล้านคน หมวดสินค้าก็สนใจจะเจาะตลาดคนกลุ่มนี้มากขึ้น ที่เห็นชัดก็จะมีระบบสมาชิกของร้านค้าปลีก ที่ทำคอนเทนต์ให้แรงงานเมียนมามากขึ้น จากเดิมสมาชิกสะสมแต้ม ที่ทำแค่คนไทย ตอนนี้มีทำ crm ในคนกลุ่มนี้มากขึ้น
หรืออย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มมีที่อยู่อาศัยสำหรับชาวเมียนมาร์ที่มีกำลังซื้อ หรือขยับขยายครอบครัวมาอยู่ไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหากเอกชนเองก็สร้างโอกาสขึ้นมาเอง โดยไม่หวังรอแต่การสนับสนุนหรือแรงดันจากภาครัฐในเรื่องอีเวนต์ต่างๆ เพียงอย่างเดียว เราอาจจะทำก่อน ใช้อินฟลูเอนเซอร์ของประเทศนั้นๆ ไปโปรโมทออนไลน์ พอมาไทยก็ได้เห็นป้ายโฆษณาแบบออฟไลน์อีก ก็ยิ่งตอกย้ำแบรนด์ของเราได้ดีขึ้น ถ้าเราทำสื่อสารการตลาดกับชาวต่างชาติต่อเนื่องย่อมมีคนมาเที่ยวเอง ไม่ต้องไปแคร์กลุ่มทัวร์ที่หายไป
Mindset นักการตลาดปีนี้:
อย่ามองกลุ่มเป้าหมายเป็นเพียง “ตัวเลข” แต่ต้องเข้าใจ ชีวิต ความหวัง ความท้าทาย และแรงผลักดัน ของพวกเขาอย่างแท้จริง เพราะเบื้องหลังทุกสถิติ คือ “มนุษย์” ที่กำลังมองหาแบรนด์ที่เข้าใจเขา