ในโลกธุรกิจยานยนต์ที่กำลังหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและการแข่งขันด้านราคา ดูเหมือนว่าประเทศไทยที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “Detroit of Asia” กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์

ข้อมูลล่าสุดจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่ากังวลสำหรับปี 2569 ว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยมีแนวโน้มจะหดตัวต่อเนื่องอีก 3% (YoY) โดยปริมาณจะลดลงเหลือราว 9 แสนคัน ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 2568 ที่คาดว่าจะจบที่ตัวเลข 9.3 แสนคัน หรือติดลบราว 9% อะไรคือปัจจัยที่ทำให้กราฟการเติบโตของไทยดิ่งลง? Thumbsup พาไปเจาะลึกเบื้องหลังตัวเลขนี้ ซึ่งมีตัวแปรสำคัญคือ “จีน” และ “การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี”

จีน: จากผู้ตาม สู่ผู้กำหนดเกมตลาดโลก

หากย้อนกลับไปในอดีต จีนคือประเทศที่มียอดส่งออกรถยนต์น้อยกว่าไทยมาโดยตลอด แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2564 เมื่อจีนเริ่มเร่งเครื่องจนแซงหน้าไทย และสร้างช่องว่างที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

สถานการณ์ล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนอย่างยิ่ง:

  • มูลค่าการส่งออก: จีนมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์สูงกว่าไทยถึง 5.4 เท่า โดยจีนทำยอดได้ถึง 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เติบโต +12%) ในขณะที่ไทยทำได้เพียง 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หดตัว -4%)
  • การยึดครองตลาด: ในขณะที่ไทยเผชิญการหดตัวในตลาดหลักอย่างโอเชียเนียและอาเซียน (ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 56% ของการส่งออกไทย) จีนกลับสามารถขยายตัวได้อย่างร้อนแรงในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะแอฟริกา (+135%) และเอเชียอื่นๆ (+24%)

แม้จีนจะถูกตั้งกำแพงภาษีอย่างหนักในยุโรป (35.3%) และอเมริกาเหนือ (110%) จนยอดส่งออกไปโซนนั้นลดลง แต่จีนก็แก้เกมด้วยการกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่นทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภัยคุกคามใน “เซกเมนต์” ที่ไทยเคยแข็งแกร่ง

เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรายโปรดักต์ เราพบว่าจีนไม่ได้มาเล่นๆ แต่กำลังรุกคืบกินส่วนแบ่งในทุกหมวดสินค้า

  1. รถยนต์นั่ง (Passenger Cars): สมรภูมิที่ไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ

ในกลุ่มนี้ จีนทิ้งห่างไทยอย่างไม่เห็นฝุ่นด้วยมูลค่าส่งออกที่สูงกว่าถึง 9 เท่า และยังเติบโตต่อเนื่อง 10% (YoY) สวนทางกับไทยที่ติดลบ 11% (YoY) ปัจจัยหลักคือ “ความต้องการของผู้บริโภค” ที่เปลี่ยนไป

ตลาดโลกกำลังต้องการรถยนต์พลังงานใหม่ (xEV) มากขึ้น แต่โครงสร้างการส่งออกของไทย 90% ยังคงเป็นรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งตลาดโลกมีความต้องการลดลง ในขณะที่รถกลุ่ม xEV ของไทยมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ตรงกันข้ามกับจีนที่ปรับตัวได้เร็วกว่ามาก โดยมีสัดส่วนการส่งออกรถ xEV สูงถึง 60% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 49% ในปีก่อนหน้า นี่คือภาพสะท้อนว่าโปรดักต์ของไทยกำลัง “ไม่ตอบโจทย์” ตลาดโลกอีกต่อไป

  1. รถปิกอัพ (Pickups): ป้อมปราการด่านสุดท้ายที่กำลังสั่นคลอน

รถปิกอัพคือฮีโร่โปรดักต์ของไทยมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันจีนกำลังไล่จี้ติด แม้มูลค่าส่งออกของจีนจะยังต่ำกว่าไทย แต่จีนมีอัตราการเติบโตสูงถึง 41% (YoY) ในขณะที่ไทยโตเพียง 8% (YoY)

สัญญาณอันตรายที่ชัดเจนที่สุดอยู่ที่ตลาด “โอเชียเนีย” (โดยเฉพาะออสเตรเลีย) ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 ของไทย (สัดส่วน 39%) การส่งออกปิกอัพไทยไปตลาดนี้ติดลบ 8% สาเหตุเกิดจากการปรับมาตรฐานรถยนต์นำเข้าที่เข้มงวดขึ้น (Emission Standards) ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งรถปิกอัพสันดาป (ICE) ของไทยบางส่วนไม่ผ่านเกณฑ์

ในทางกลับกัน จีนใช้จังหวะนี้ส่งออกรถปิกอัพกลุ่ม HEV และ PHEV เข้าไปตีตลาด และทำยอดเติบโตถล่มทลายถึง 183% (YoY) เพราะสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานใหม่ได้และใช้กลยุทธ์ราคาเข้าสู้

วิเคราะห์ทิศทางปี 2569: ทำไมถึงยัง “เหนื่อย” ต่อ?

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปี 2569 จะยังเป็นปีที่ยากลำบาก โดยคาดการณ์ยอดส่งออกที่ 9 แสนคัน (-3% YoY) เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า:

  1. การแข่งขันจากจีน: จีนจะยังคงรุกตลาดโลกต่อเนื่อง ทั้งรถนั่งและรถเพื่อการพาณิชย์
  2. นโยบายค่ายรถญี่ปุ่น: แม้ตลาดต้องการ xEV แต่การลงทุนผลิตรถยนต์นั่งกลุ่ม HEV และ PHEV ในไทยเพื่อส่งออกยังไม่มีความชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะค่ายรถญี่ปุ่นต้องรักษากำลังการผลิตในประเทศแม่ (ญี่ปุ่น) ไว้ หลังได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ
  3. ข้อจำกัดของ BEV ไทย: แม้การผลิต BEV ในไทยจะเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เน้นขายในประเทศ (Domestic) ยังไม่มีแรงส่งมากพอที่จะดันยอดส่งออกให้ฟื้นตัว

ทางรอดของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

เพื่อให้ไทยก้าวข้ามวิกฤตการหดตัวและรักษาตำแหน่งในเวทีโลก ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวใน 3 แกนหลัก:

  • เร่งเครื่องสู่ฐานผลิต xEV: ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาตัวเองขึ้นเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์นั่งและปิกอัพ xEV เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
  • รักษาฐาน ICE ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้: แม้เทรนด์โลกจะไป EV แต่ความจำเป็นในการใช้ปิกอัพเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ยังคงมีอยู่ ไทยต้องเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นฐานผลิตปิกอัพ ICE หลักของโลก โดยเน้น “การลดต้นทุน” เพื่อให้ราคาสู้กับจีนได้
  • หาตลาดใหม่ทดแทน: ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันเร่งเพิ่มโอกาสส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิมที่กำลังหดตัว

ตัวเลข 9 แสนคันไม่ใช่แค่สถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัย (Wake-up Call) ครั้งใหญ่ การที่จีนสามารถผลิตรถที่ “ใช่” ในราคาที่ “โดน” และเทคโนโลยีที่ “ล้ำ” กว่า กำลังบีบให้ไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน หากเรายังยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ ของยุคเครื่องยนต์สันดาป พื้นที่ในตลาดโลกของไทยอาจจะเล็กลงเรื่อยๆ จนยากที่จะทวงคืน