ในโลกธุรกิจ คำว่า “Cash is King” อาจจะเป็นวลีที่คุ้นหู แต่ในโลกของธุรกิจกีฬานาทีนี้ต้องบอกว่า “Asset Valuation is Emperor” หรือมูลค่าสินทรัพย์คือจักรพรรดิ และไม่มีใครเล่นเกมนี้ได้เก่งไปกว่า “ราชันชุดขาว” หรือ Real Madrid อีกแล้ว
วันนี้ Thumbsup อยากชวนทุกคนมาแกะงบและกลยุทธ์ล่าสุดของ Real Madrid ที่เพิ่งเปิดเผยในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งตัวเลขที่ออกมาไม่ใช่แค่ “สถิติใหม่” แต่กำลังจะกลายเป็น Benchmark ใหม่ของวงการฟุตบอลทั่วโลก ที่เปลี่ยนจากแค่สโมสรกีฬา ให้กลายเป็น Media & Entertainment Complex เต็มรูปแบบ
สิ่งที่เราเห็นจากข่าวนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของผลแพ้ชนะในสนาม แต่คือกลยุทธ์ทางการเงินและการตลาดที่ Florentino Pérez ประธานสโมสรจอมเก๋า กำลังวาดลวดลายให้โลกดู

เมื่อรายได้ไม่ใช่แค่กำไร แต่คืออำนาจการต่อรอง
เริ่มต้นที่ตัวเลขที่ทำให้ทุกคนต้องขยี้ตา Real Madrid ได้กางแผนงบประมาณสำหรับฤดูกาล 2025-26 โดยคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 1.25 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขนี้มีความหมายอย่างไร?
มันหมายความว่าพวกเขากำลังจะทำลายสถิติเดิมของตัวเองที่ทำไว้ในฤดูกาลก่อนหน้า (1.18 พันล้านยูโร หรือ 1.36 พันล้านดอลลาร์) และตอกย้ำสถานะการเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก การเติบโตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่เกิดจากโครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่ง (Diversified Revenue Streams) ที่ถูกวางแผนมาอย่างดี
หากเจาะลึกลงไปในไส้ในของตัวเลข เราจะเห็น EBITDA สูงถึง 317 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าตัวเลขกำไรสุทธิจะดูบางเบาที่ 11.6 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีการหักค่าเสื่อมราคาทางบัญชีจำนวนมหาศาลจากการลงทุน แต่ในแง่ของกระแสเงินสดและการดำเนินงาน นี่คือธุรกิจที่ Cash Flow หมุนเวียนระดับปีศาจ
ทำไมต้องขายหุ้น 10% ทั้งที่รวยล้นฟ้า?
ไฮไลต์สำคัญที่นักการตลาดและนักลงทุนต้องจับตามอง คือถ้อยแถลงของ Florentino Pérez ที่ต้องการ “ขายหุ้นบางส่วน” ของสโมสร
คำถามที่น่าสนใจคือ ในเมื่อรายได้ทุบสถิติโลก ทำไมต้องขายหุ้น?
คำตอบคือ “Valuation Validation” หรือการพิสูจน์มูลค่าที่แท้จริง
ปัจจุบัน Real Madrid มีโครงสร้างเจ้าของแบบ Socios หรือการเป็นเจ้าของร่วมกันโดยสมาชิกกว่า 100,000 คน ซึ่งเป็นรูปแบบ Non-profit organization คล้ายกับ Barcelona หรือ Athletic Bilbao โครงสร้างนี้ทำให้สโมสรมีความขลังและเป็นประชาธิปไตย แต่ในมุมมองธุรกิจ มันทำให้การ “ประเมินมูลค่าตลาด” (Market Valuation) ทำได้ยาก เพราะไม่มีราคาหุ้นวิ่งอยู่บนกระดานเทรดเหมือน Manchester United
Pérez กล่าวในที่ประชุมว่า “ทำไมเราต้องก้าวเดินในจุดนี้? เพราะมันคือวิธีที่ชัดเจนและน่าดึงดูดที่สุดในการประเมินมูลค่าสโมสรของเรา การที่มีใครสักคนยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับหุ้นเพียงเล็กน้อย (Symbolic stake) นั่นคือหลักฐานที่ดีที่สุดที่จะยืนยันมูลค่าของ Real Madrid”
Pérez ต้องการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อดูแลสินทรัพย์และอนุญาตให้มีการขายหุ้นส่วนน้อยไม่เกิน 10% โดยเขาเชื่อว่าดีลนี้จะทำให้ Valuation ของสโมสรพุ่งไปแตะระดับ 10,000 ล้านยูโร หรือราว 11,500 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้สูงกว่าการประเมินของ Sportico เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งให้ราคา Real Madrid ไว้ที่ 6.53 พันล้านดอลลาร์ (นำหน้าอันดับ 2 อย่างแมนยูฯ อยู่ 440 ล้านดอลลาร์) ถึงเกือบเท่าตัว! นี่คือจิตวิทยาการต่อรองและการสร้างราคามาตรฐานใหม่ (Price Anchoring) ของ Pérez ที่ต้องการบอกโลกว่า “อย่ามาตีราคาเราเท่ากับทีมอื่น เราอยู่คนละลีก”
Santiago Bernabéu ไม่ใช่แค่สนามแข่ง แต่คือ “Money Printer”
เบื้องหลังตัวเลขรายได้มหาศาล คือการปรับปรุงสนาม Santiago Bernabéu มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ ที่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ และฤดูกาล 2025-26 นี้จะเป็นปีแรกที่สโมสรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ในมุมมองของการบริหาร Space Utilization และ Retail Experience สนามแห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องจักรผลิตเงิน
- Stadium Revenue: คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้น 23% แตะระดับ 463 ล้านดอลลาร์
- Experience Economy: ธุรกิจทัวร์สนาม, พิพิธภัณฑ์ และ RM Experience คาดว่าจะโตขึ้น 31%
- Premium Segment: รายได้จากที่นั่ง VIP คาดว่าจะโต 13%
ที่น่าสนใจคือ การใช้สนามให้เป็น Multi-purpose Venue ล่าสุด Bernabéu เพิ่งเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง NFL เกมแรกในสเปน นี่คือการ Cross-pollination ระหว่างแฟนเบสกีฬาระดับโลก และเปลี่ยน Asset ที่โดยปกติจะถูกใช้งานแค่ 25-30 วันต่อปี ให้กลายเป็นพื้นที่ทำเงินได้ตลอด 365 วัน
Marketing คือหัวใจหลัก
แม้รายได้จากการถ่ายทอดสด (Broadcast) จะทรงตัวอยู่ที่ 189 ล้านดอลลาร์ และรายได้จากแมตช์อุ่นเครื่องต่างประเทศจะลดลงถึง 34% (เนื่องจากการยกเลิกพรีซีซั่นทัวร์และผลกระทบทางบัญชีของ Club World Cup) แต่สิ่งที่แบกรายได้หลักของสโมสรไว้คือ “Marketing Revenue”
รายได้จากการตลาดและการเป็นสปอนเซอร์ ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่สุด โดยคาดว่าจะเติบโต 7% ไปอยู่ที่ 621 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ ทีมฟุตบอลหญิงของ Real Madrid ก็เริ่มฉายแววทางธุรกิจ โดยคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 14.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง 83% ของตัวเลขนี้มาจากการตลาดและสปอนเซอร์ล้วน ๆ แสดงให้เห็นว่า Brand Equity ของคำว่า “Real Madrid” นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ไม่ว่าจะแปะอยู่บนเสื้อทีมชายหรือทีมหญิง
Private Equity กับบทบาทที่เปลี่ยนไป
เราเห็นเทรนด์ของ Private Equity (PE) เข้ามามีบทบาทในวงการฟุตบอลมากขึ้นเรื่อย ๆ
- Sixth Street: เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับ Real Madrid ในโปรเจกต์ Bernabéu ตั้งแต่ปี 2022 โดยแลกเปลี่ยนรายได้จากสนาม 20 ปี กับเงินลงทุน 360 ล้านยูโร
- Apollo Sports Capital: เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใหญ่ของ Atlético Madrid ด้วย Valuation 2.55 พันล้านดอลลาร์
- Clearlake Capital: กับดีลซื้อ Chelsea ที่เป็นสถิติโลก 3.16 พันล้านดอลลาร์
การที่ Pérez ต้องการขายหุ้น 10% จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นการ “เล่นตามเกมการเงินโลก” เพื่อดึงเม็ดเงินจาก Smart Money เหล่านี้เข้ามาหมุนเวียนและสร้าง Connection ทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยที่ยังรักษาอำนาจการบริหารส่วนใหญ่ไว้ได้
Thumbsup มองว่า กรณีของ Real Madrid สอนให้เรารู้ว่า การทำธุรกิจในยุค Modern Business ไม่สามารถพึ่งพารายได้ทางเดียวได้อีกต่อไป
- Asset Transformation: เปลี่ยนสินทรัพย์ถาวร (สนาม) ให้เป็น Experience Platform ที่ทำเงินได้ทุกวัน
- Brand Value Validation: การรู้มูลค่าตัวเอง (Valuation) สำคัญพอๆ กับการหากำไร และบางครั้งเราต้องสร้างกลไก (เช่น การขายหุ้นส่วนน้อย) เพื่อพิสูจน์มูลค่านั้นให้ตลาดเห็น
- Revenue Diversification: เมื่อรายได้จากการถ่ายทอดสดเริ่มอิ่มตัว การตลาด (Marketing) และประสบการณ์ (Experience) คือ New S-Curve ที่แท้จริง
Florentino Pérez ไม่ได้กำลังทำทีมฟุตบอลแข่งกับ Barcelona หรือ Man City อีกต่อไป แต่เขากำลังปั้น Real Madrid ให้เป็น Global Brand ที่แข่งกับ Disney หรือ Netflix ในแง่ของการแย่งชิงเวลาและเงินในกระเป๋าผู้คน
และดูเหมือนว่า… เขาจะทำได้ดีเสียด้วย
อ่านเพิ่มเติม


