ในยุคที่นักการตลาดและคนทำคอนเทนต์อย่างเราต้องตื่นมาพร้อมกับการเช็ก Metrics, ดู Engagement Rate หรือนั่งเฝ้าหน้าจอ Real-time Analytics ว่าแคมเปญที่ปล่อยไป “ปัง” หรือ “พัง” มันเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกแยะเส้นแบ่งระหว่าง “ความสำเร็จของงาน” กับ “คุณค่าของตัวเราเอง”
แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเลขบน Facebook หรือ TikTok หรอก ความน่ากลัวคือการที่เรานำเอา Mindset ของการ “ล่าแต้ม” เหล่านั้นมาใช้กับชีวิตจริง เราเริ่มเช็ก “ยอดไลก์” จากสายตาคนรอบข้าง จากคำชมของเจ้านาย จากความคาดหวังของพ่อแม่ หรือแม้แต่คนแปลกหน้าบนโลกโซเชียล
วันนี้ Thumbsup หยิบหนังสือ “Stop Checking Your Likes: Shake Off the Need for Approval and Live an Incredible Life” ของ Susie Moore มาถอดรหัสให้ชาว Marketing และคนวัยทำงานได้อ่านกัน เพราะเราเชื่อว่า Performance ที่ดีที่สุด ไม่ได้เกิดจากการพยายาม Please ทุกคน แต่เกิดจากการที่เรารู้จักตัวเองดีพอ
มาดูกันว่า Susie Moore แนะนำให้เราก้าวออกจาก “กับดักการยอมรับ” (Approval Trap) นี้ได้อย่างไร

The Approval Trap เมื่อความสุขของคุณขึ้นอยู่กับปุ่ม Like ของคนอื่น
Susie Moore เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่ Real มากๆ สำหรับหลายคน เธอเล่าถึงชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเติบโตมาในครอบครัวที่มีปัญหา พ่อติดเหล้า และต้องอยู่ในศูนย์พักพิงสตรี สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เธอโหยหา “ความสุข” และเชื่อว่าความสุขนั้นต้องมาจากการที่ทุกอย่าง “สมบูรณ์แบบ” ในสายตาคนอื่น
พวกเราหลายคนก็เป็นแบบนี้ เราแต่งงานเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เราเลือกงานที่ดูดีเพราะครอบครัวภูมิใจ เรายอมทิ้งความฝันเพราะกลัวเพื่อนจะมองว่าเพ้อเจ้อ
นี่คือ “Approval Trap” หรือกับดักการยอมรับ เมื่อเราผูกติดคุณค่าของตัวเองไว้กับปฏิกิริยาของคนอื่น มันเหมือนกับการที่คุณโพสต์รูปแล้วนั่งรีเฟรชหน้าจอรอคนมากดไลก์ ถ้าไลก์น้อย คุณจะรู้สึกแย่กับตัวเองทันที ทั้งที่รูปนั้นอาจจะเป็นรูปที่คุณชอบมากที่สุดก็ได้
ในโลกการทำงาน เรามักจะประเมินค่าตัวเองต่ำเกินไปเพียงเพราะ Feedback ของคนเพียงคนเดียว หรือเพราะวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้ออำนวย Moore เตือนสติเราว่า “หยุดเช็กยอดไลก์” ในที่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องโซเชียลมีเดีย แต่มันคือการอุปมาถึงความหมกมุ่นในการรอคอยการอนุมัติจากภายนอก
ทางออกคือการตระหนักว่า “คุณมีสิทธิ์เลือกเอง” การอนุมัติเดียวที่สำคัญที่สุดคือการอนุมัติจากตัวคุณเอง ถ้าคุณรักงานศิลปะแต่ครอบครัวอยากให้เป็นหมอ การเลือกทางเดินของตัวเองไม่ได้แปลว่าคุณอกตัญญู แต่มันแปลว่าคุณกำลังรับผิดชอบความสุขของตัวเอง
อัปเดต Software ความคิด เพราะพ่อแม่ก็คือมนุษย์ (ที่มี Bug เหมือนกัน)
บทเรียนที่เจ็บปวดแต่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้คือเรื่องของ “พ่อแม่”
เราทุกคนเติบโตมาโดยมีพ่อแม่เป็นต้นแบบ (Role Model) เป็นเหมือนโปรแกรมเมอร์ที่เขียนโค้ดชุดแรกใส่สมองเรา เราเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขาบอก คือ “ความถูกต้องสัมบูรณ์” (Absolute Truth)
แต่เมื่อโตขึ้น เราต้องกล้าที่จะมองพวกเขาในฐานะ “มนุษย์คนหนึ่ง” มนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ มนุษย์ที่อาจจะมีความกลัว มีปมในใจ หรือมีการตัดสินใจที่ผิดพลาด Susie Moore เล่าถึงพ่อของเธอที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง มันง่ายมากที่เธอจะจมปลักอยู่กับอดีต แต่เธอเลือกที่จะเข้าใจว่านั่นคือข้อจำกัดของเขา
ในฐานะคนทำงาน เราอาจจะมี “Self-Limiting Beliefs” หรือความเชื่อที่จำกัดศักยภาพตัวเอง ซึ่งเราได้รับถ่ายทอดมาจากที่บ้านโดยไม่รู้ตัว เช่น “งานที่มั่นคงคืองานราชการเท่านั้น” หรือ “คนรวยคือคนโลภ”
หน้าที่ของเราคือการ Debug ความคิดเหล่านี้ เราสามารถรักและเคารพพ่อแม่ได้โดยไม่จำเป็นต้อง “Copy” ชีวิตหรือความเชื่อของพวกเขามาทั้งหมด ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ ในชีวิต คุณต้องกล้าที่จะเขียน Code ชีวิตของตัวเองขึ้นมาใหม่ และให้อภัยในความไม่สมบูรณ์แบบของคนรุ่นก่อน
Imposter Syndrome เพราะความลับคือ ‘ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่’
คุณเคยนั่งในห้องประชุม มองไปที่หัวหน้า หรือมองไปที่ Speaker บนเวที แล้วคิดไหมว่า “โห คนพวกนี้เก่งจัง เขาต้องรู้ทุกอย่างแน่ ๆ ส่วนเรานี่มันตัวปลอมชัด ๆ”?
ยินดีด้วย คุณกำลังเจอกับ Imposter Syndrome และข่าวดีคือ “คุณไม่ใช่คนเดียวที่เป็น”
Susie Moore ยืนยันความจริงข้อหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณโล่งใจ “Everyone is winging it” (ทุกคนก็มั่วหน้างานกันทั้งนั้นแหละ) แม้แต่คนที่ดูมั่นใจที่สุด มีปริญญาหลายใบ หรือมีตำแหน่งสูงส่ง เบื้องหลังพวกเขาก็มีความกังวล ความไม่รู้ และความกลัวเหมือนกับคุณ
เรามักจะประเมินคนอื่นสูงเกินไป (Overestimate) และประเมินตัวเองต่ำเกินไป (Underestimate) เสมอ เรามองเห็นแต่ “เบื้องหน้า” ที่สวยหรูของคนอื่น แต่เราเห็น “เบื้องหลัง” ที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง
ทางแก้ไม่ใช่การรอให้พร้อม 100% หรือรอให้เก่งระดับเทพก่อนถึงจะลงมือทำ แต่คือการ “Say YES” รับโอกาสมาก่อน แล้วค่อยไปหาวิธีทำทีหลัง เลิกกลัวว่าจะมีใครเดินมาสะกิดไหล่แล้วบอกว่า “จับได้แล้ว แกมันตัวปลอม” เพราะในความเป็นจริง ทุกคนต่างก็ยุ่งกับการจัดการความไม่มั่นใจของตัวเองกันทั้งนั้น
พลังแห่งคำว่า “So What?”
ในโลกออนไลน์ ทัวร์ลงเป็นเรื่องปกติ คอมเมนต์แย่ ๆ เพียงหนึ่งอันอาจทำลายวันดี ๆ ของคุณไปทั้งวัน Moore แชร์ประสบการณ์ที่เธอเคยเจอคอมเมนต์วิจารณ์รูปร่างหน้าตา เพื่อนของเธอให้คำแนะนำสั้น ๆ ว่า “So What?”
คำนี้กลายเป็น Mantra หรือมนต์คาถาประจำใจที่ทรงพลังมาก
- โดนลูกค้าวิจารณ์งาน? -> So What? (แก้งานสิ เรียนรู้ แล้วไปต่อ)
- ยอดวิวไม่ถึงเป้า? -> So What? (อัลกอริทึมมันก็แบบนี้แหละ ทำคอนเทนต์ต่อไป)
- มีคนนินทา? -> So What? (เขาก็แค่ว่าง)
การใช้ “So What?” ไม่ใช่การเพิกเฉยต่อความรับผิดชอบ แต่เป็นการ “วางเฉยต่ออารมณ์ดราม่าที่ไม่จำเป็น” มันช่วยดึงสติเรากลับมาโฟกัสที่ “Facts” หรือข้อเท็จจริง มากกว่า “Feelings”
จำไว้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจชีวิตคุณขนาดนั้น (นี่คือเรื่องจริงที่ฟังดูโหดร้ายแต่เป็นอิสระมาก) พวกเขายุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง และสิ่งที่เขาพูดหรือวิจารณ์ มักจะสะท้อน “ปมในใจของเขา” มากกว่าสะท้อน “ตัวตนของคุณ”
แว่นตาที่มองเห็นแต่เรื่องตลก และสุสานเตือนใจ
ชีวิตมันเครียดพอแล้ว อย่าทำให้มันหนักกว่าเดิม Moore แนะนำให้เราสวม “แว่นตาที่มองเห็นแต่เรื่องตลก” (Comedy Colored Glasses) มองหาอารมณ์ขันในทุกสถานการณ์
เทคนิคที่น่าสนใจคือ เธอชอบไปเดินเล่นในสุสาน… ใช่ครับ อ่านไม่ผิด สุสาน เพื่อเตือนตัวเองว่า “วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องตาย” ปัญหางานที่ดูยิ่งใหญ่ในวันนี้ เดดไลน์ที่ทำให้เรานอนไม่หลับ หรือดราม่าในออฟฟิศ สุดท้ายแล้วมันก็แค่เรื่องชั่วคราว ไม่มีอะไรอยู่ตลอดไป
การมองเห็นความตาย (Memento Mori) ช่วยให้เราเลิกถือสาหาความกับเรื่องเล็กน้อย และกล้าที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการจริงๆ เพราะเวลาเรามีจำกัด เกินกว่าจะมานั่งแคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไง
เมื่อเจอปัญหา ลองถามตัวเองว่า “Is that a fact?” (มันคือข้อเท็จจริงเหรอ?)
- “ฉันไม่มีเงิน” -> ข้อเท็จจริงเหรอ? (ถ้าวันนี้ได้กินข้าว มีที่นอน แปลว่าคุณมีเงิน)
- “ฉันทำไม่ได้” -> ข้อเท็จจริงเหรอ? (หรือแค่ยังไม่ได้ลอง)
การแยก “ความคิดลบ” ออกจาก “ความจริง” จะทำให้ชีวิตเบาขึ้นเยอะ
Intuition อัลกอริทึมภายในที่แม่นยำกว่า Data
ในยุค Data-Driven เราถูกสอนให้เชื่อข้อมูล เชื่อสถิติ เชื่อตรรกะ จนเราลืมฟังเสียงที่สำคัญที่สุดคือ “สัญชาตญาณ” (Intuition)
Moore เปรียบสัญชาตญาณเหมือน Gut Feeling ที่เป็นเข็มทิศส่วนตัว หลายครั้งที่เราเลือกทางเดินชีวิตตามคำแนะนำของคนอื่น (เพราะมันดู Make Sense ตามตรรกะสังคม) แต่ใจลึก ๆ เรากลับรู้สึกอึดอัด นั่นคือสัญญาณเตือน
การถามความเห็นคนอื่นตลอดเวลา คือการมอบอำนาจการตัดสินใจในชีวิตคุณให้คนอื่นถือไว้ ลองกลับมาเชื่อมั่นในเสียงเล็ก ๆ ในหัวดูบ้าง แม้บางครั้งมันจะดูไร้เหตุผลในตอนแรก แต่ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ หรือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิต มักเริ่มจากสัญชาตญาณที่กล้าหาญเสมอ
Rejection is NOT a Full Stop
สุดท้าย เรื่องที่คนทำงานกลัวที่สุดคือ “การถูกปฏิเสธ” (Rejection) ไม่ว่าจะเสนองานไม่ผ่าน สมัครงานไม่ได้ หรือจีบใครไม่ติด
Moore บอกให้เราเปลี่ยนมุมมองใหม่ “Rejection is just a redirection” (การถูกปฏิเสธคือการเปลี่ยนเส้นทาง ไม่ใช่จุดจบ) หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่ “Tough Love” ที่โลกสอนให้เราเก่งขึ้น
จงตกหลุมรักการถูกปฏิเสธ เพราะมันแปลว่าคุณกำลัง “ลงมือทำ” อะไรบางอย่าง คนที่ไม่เคยถูกปฏิเสธคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย และอย่าลืมว่า การถูกปฏิเสธ “ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” (It’s not personal) บ.ก. อาจจะปฏิเสธงานเขียนของคุณเพราะเขาทะเลาะกับแฟนมา หรือลูกค้าไม่ซื้อของเพราะงบหมด ไม่ใช่เพราะคุณไม่เก่ง
Thumbsup มองว่า การอ่าน Stop Checking Your Likes เหมือนการได้นั่งคุยกับพี่สาวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วตบไหล่บอกเราว่า “เฮ้ย แกเก่งแล้ว แกโอเคแล้ว เลิกกังวลเรื่องชาวบ้านแล้วไปใช้ชีวิตซะ”
ในโลกธุรกิจและการตลาด เราอาจจะต้องแคร์ Metrics เพื่อความอยู่รอดของบริษัท แต่สำหรับ “ธุรกิจชีวิต” ของตัวคุณเอง Metrics เดียวที่สำคัญคือ “ความสุขและความภูมิใจในตัวเอง”
อย่าให้ยอดไลก์กำหนดราคาของคุณ อย่าให้คำวิจารณ์หยุดยั้งความกล้าของคุณ เพราะสุดท้ายแล้ว ในวันที่เราจากโลกนี้ไป จะไม่มีใครจำได้หรอกว่าโพสต์ของคุณได้กี่ไลก์ แต่เขาจะจำได้ว่าคุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นตัวเองได้ “Incredible” แค่ไหน
ลองเริ่มจากวันนี้… เลิกถามคนอื่นว่า “ฉันควรทำไหม?” แล้วถามตัวเองว่า “ฉันอยากทำไหม?” แล้วลุยเลย!
อ่านเพิ่มเติม


