Site icon Thumbsup

ยอดขาย HomePod ของ Apple ไม่ดีนัก

Pic Credit: Unsplash

สาวก Apple อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปนะคะ เราเอาข้อมูลมาจาก Thenextweb ที่เก็บข้อมูล Homepod ของ Apple ตั้งแต่ออกวางจำหน่าย รวมทั้งอ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg ที่ได้รายงานว่า มีบริษัทหนึ่งได้ยกเลิกคำสั่งซื้อจากโรงงานผลิตสินค้าชิ้นนี้ ที่จำหน่ายในราคา 350 เหรียญสหรัฐ หลังความสามารถของสินค้าชิ้นนี้ ไม่สามารถตอบโจทย์ได้มากเท่าที่ควร

นอกจากนี้ รายงานของบริษัทวิจัย Slice Intelligence ก็ยังเสริมข้อมูลให้ชัดขึ้นด้วยว่า ขณะนี้มูลค่าตลาดลำโพงที่ใช้คำสั่งด้วยเสียงมีส่วนแบ่งเพียง 19% ของภาพรวมตลาด โดยมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Echo Alexa ของ Amazon และ Google Home Series ของ Google

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เสียงร่ำลือ Homepad ของ Apple จะได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยฟังก์ชั่นของ Siri ที่สามารถเป็นผู้ช่วยชั้นเยี่ยมในการทำงานผ่านสมาร์ทโฟน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Google และ Amazon แล้ว ที่ต้องสั่งงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่น เล่นเพลงผ่าน Stereo ค้นหาข้อมูลแบบทันท่วงทีหรือสั่งงานผ่านเสียงเพื่อควบคุมอุปกรณ์ในบ้านนั้น กลับไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร

ทางด้านราคาก็เป็นอีกสิ่งที่โดนบ่นกันมาก เพราะราคาของลำโพงสุดฉลาดนี้สูงถึง 350 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,920 บาท แต่กลับไม่สามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มแบบที่ Echo และ Home ทำได้ ยิ่งการใช้งานร่วมกับ third party platform ยิ่งดูเหมือนจะไม่มีหนทางเป็นไปได้เลย ส่วนราคาของ Echo 2Generation อยู่ที่ 99.99 เหรียญ ส่วน google home อยู่ที่ 130 เหรียญสหรัฐ (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง)

Credit: Unsplash

นอกจากนี้ อุปกรณ์ของ Google และ Amazon ยังดูจะมีทางเลือกให้ใช้งานได้มากกว่า เช่น เล่นเกม ช่วยค้นหาโทรศัพท์ ค้นหาเที่ยวบินและจองผ่าน Alexa หรือสั่งงานแอปต่างๆ เพื่อควบคุมเครื่องใช้ภายในบ้าน รวมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวจะเพิ่มเข้ามาให้เห็นในฤดูร้อนนี้อย่างต่อเนื่อง

Credit: Unsplash

แม้ว่า Apple จะมีชื่อเสียงในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างน่าสนใจและสินค้ามีโอกาสโตได้ต่อเนื่องไปสู่คนหลายรุ่น แต่หลังจากการเร่งสปีดมาตลอดกว่า 4 ปีของ Amazon พร้อมกับ Google ที่พัฒนาระบบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการดึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์และคอนเทนต์จากภายนอกมาร่วมสร้างแพลตฟอร์มกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้สินค้ากลุ่มนี้ได้รับความสนใจที่ดีกว่า

สุดท้ายแล้วปัญหาไม่ใช่อยู่ที่การจำกัดแค่แพลตฟอร์มแต่ Apple ต้องออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทำงานร่วมกับสินค้ากลุ่มอื่นๆ ได้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นการเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจยากเกินไป

Source: thenextweb