The Practice

ในโลกที่คำว่า “คอนเทนต์” ล้นทะลักฟีด และใคร ๆ ก็เรียกตัวเองว่า “ครีเอเตอร์” คำถามสำคัญที่นักการตลาดและคนทำงานสายสร้างสรรค์มักถามตัวเองไม่ใช่ “ฉันจะสร้างอะไร?” แต่เป็น “ฉันจะสร้างมันให้สำเร็จและโดดเด่นได้อย่างไร?”

วันนี้ Thumbsup หยิบหนังสือเล่มสำคัญของเจ้าพ่อการตลาดอย่าง Seth Godin ที่ชื่อว่า “The Practice: Shipping Creative Work” มาชำแหละให้ดู ไม่ใช่แค่สรุปย่อ แต่คือการถอดรหัสความคิดที่จะเปลี่ยนคุณจาก “มือสมัครเล่นที่รออารมณ์ศิลป์” ให้กลายเป็น “มืออาชีพที่สร้างผลงานเปลี่ยนโลก”

หากคุณกำลังติดกับดัก Imposter Syndrome (อาการคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ) หรือมีความไอเดียล้านแปดแต่ไม่เคยทำเสร็จสักชิ้น บทความนี้คือคู่มือเอาตัวรอดของคุณ

The Practice

ความกล้าหาญคือจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่

Seth Godin เปิดประเด็นด้วยหมัดฮุกที่หนักหน่วง “โลกไม่ได้ขาดแคลนคนเก่ง แต่โลกขาดแคลนคนที่กล้าส่งงานของตัวเองออกไป”

นักสร้างสรรค์และนักการตลาดส่วนใหญ่มักซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่ใช่เพราะไม่มีฝีมือ แต่เพราะความกลัว ทั้งกลัวคำวิจารณ์ กลัวความล้มเหลว และกลัวการถูกตัดสินจากบรรทัดฐานของสังคม เราถูกหล่อหลอมมาให้ “ปลอดภัยไว้ก่อน” (Play Safe) แต่ในยุคนี้ ความปลอดภัยคือความเสี่ยงที่สุด

อย่างไรก็ตามงานของคุณมีไว้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างให้ใครบางคน หากคุณไม่กล้า “Ship” หรือปล่อยงานชิ้นนั้นออกไป เท่ากับว่าคุณกำลังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้น การซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแห่งความกลัวไม่ได้ช่วยใคร และที่สำคัญ มันทำให้โลกพลาดโอกาสที่จะเห็น “แสงสว่าง” ในตัวคุณ

การเป็นศิลปินหรือนักการตลาดที่แท้จริง ต้องกล้าที่จะท้าทาย Status Quo (สถานะเดิม) ความกล้าไม่ใช่การไม่กลัว แต่คือการลงมือทำทั้ง ๆ ที่กลัว

เลิกเชื่อระบบอุตสาหกรรม แล้วหันมา “เชื่อใจตัวเอง”

เราเติบโตมาในระบบการศึกษาและเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าความคิดสร้างสรรค์ ระบบต้องการให้เราเป็นฟันเฟืองที่เชื่อฟังคำสั่งมากกว่าเป็นผู้นำที่คิดต่าง นี่คือเหตุผลที่ช่องว่างระหว่าง “มือใหม่” กับ “มือโปร” ดูห่างไกลเหลือเกิน

หลายคนติดกับดักความคิดว่า “ต้องพร้อมก่อนถึงจะทำ” แต่ความจริงคือ คุณจะไม่มีวันพร้อม 100% สิ่งที่คุณต้องทำคือ Trust Yourself หรือเชื่อใจในกระบวนการของคุณเอง ผ่านวิธีสร้างความเชื่อมั่นดังนี้

  1. มองหา Role Model: ศึกษาเส้นทางของผู้ประกอบการหรือครีเอเตอร์ที่เคยท้าทายโลกมาก่อน อ่านเรื่องราวของพวกเขาเพื่อซึมซับความกล้า
  2. โฟกัสที่ Impact: เมื่อคุณโฟกัสที่ “ผลกระทบ” ที่งานของคุณจะมีต่อผู้อื่น ความกลัวเรื่องตัวเองจะเล็กลง งานศิลปะคือความเอื้อเฟื้อ คือการทำสิ่งที่ดีขึ้นเพื่อคนอื่น

ศิลปะคือ “ความเป็นผู้นำ”

คุณกำลังใช้ชีวิตแบบ “พยายามทำตัวให้กลมกลืน” หรือเปล่า? นักสร้างสรรค์จำนวนมากพยายามลอกเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จเพราะคิดว่าเป็นทางลัด แต่หารู้ไม่ว่า การทำแบบนั้นทำให้คุณสูญเสียสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดไป นั่นคือ “เสียงของคุณเอง”

Seth ย้ำเสมอว่า “คุณไม่ใช่พ่อครัวที่ทำอาหารตามสั่ง แต่คุณคือผู้นำที่จะพาเราไปสู่สิ่งใหม่”

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้น การเลียนแบบ อาจเป็นวิธีเรียนรู้ (เหมือนการดราฟท์รูป) แต่จุดหนึ่งคุณต้องหาเสียงของตัวเองให้เจอ อย่ากลัวว่างานของคุณจะไม่ถูกใจคนทั้งโลก เพราะงานศิลปะที่ดีไม่จำเป็นต้อง Mass ผ่านกลยุทธ์ 3 เรื่องคือ

  • คุณต้องการแค่ “ใครสักคน” ที่รักงานของคุณจริง ๆ
  • คนกลุ่มนี้จะบอกต่อ และไฟจะลามทุ่งเอง
  • เลิกพยายามเป็น “ทุกอย่างสำหรับทุกคน” แต่จงเป็น “บางอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับบางคน”

จงเป็น “มืออาชีพ”

นี่คือพาร์ทที่เจ็บแสบและจริงที่สุดในหนังสือเล่มนี้ เส้นแบ่งระหว่าง “งานอดิเรก” กับ “อาชีพ” ไม่ใช่จำนวนเงินที่ได้ แต่คือ วินัย (Consistency)

มือสมัครเล่นจะเขียนเมื่อมีอารมณ์ แต่มืออาชีพจะเขียนตามตารางเวลา การรอ Muse หรือแรงบันดาลใจเป็นเรื่องเพ้อฝัน Seth บอกว่าถ้าคุณอยากเป็นสถาปนิกที่เก่ง คุณต้องออกแบบตึก ไม่ใช่นั่งรอดูว่าเมื่อไหร่จะอยากออกแบบ ซึ่งมี 2 แทคติกสู่ความเป็นมืออาชีพ

  1. สร้างนิสัย (Make Consistency a Habit): ถ้างานของคุณคือการเขียน จงเขียนทุกวัน ถ้าคือการขาย จงโทรหาลูกค้าทุกวัน แม้ว่าวันนั้นคุณจะไม่อยากทำก็ตาม วินัยคือกล้ามเนื้อที่ต้องฝึก
  2. เลือกทำงานกับลูกค้าที่ดีกว่า (Work with Better Clients): อย่าลดตัวลงไปแข่งในสงครามราคา (Price War) ในตลาด Gig Economy ที่คนพร้อมจะทำงานราคา 10 เหรียญ ลูกค้าที่จ่ายน้อยมักคาดหวังต่ำและทำให้งานคุณออกมาแย่ จงหาลูกค้าที่ “เคี่ยว” แต่ยอมจ่ายเพื่อคุณภาพ เพราะนั่นจะบีบให้คุณเก่งขึ้น

ตอบคำถามเรื่อง “เจตนา”

ก่อนจะเริ่มโปรเจกต์ใด ๆ นักการตลาดต้องตอบคำถามพื้นฐานให้ได้ก่อน

  • “งานนี้เพื่อใคร?” (Who is it for?)
  • “มันมีไว้เพื่ออะไร?” (What is it for?)

การระบุกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่อง Demographics แต่มันคือเรื่องของ Psychographics ความเชื่อ ความหวัง และความฝันของพวกเขา ยิ่งกลุ่มเป้าหมายแตกต่างจากตัวคุณมากเท่าไหร่ คุณยิ่งต้องใช้ Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อคุณชัดเจนว่างานนี้ “เพื่อใคร” คุณจะรู้ทันทีว่าคำวิจารณ์จากคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายนั้น “ไม่มีค่า” ให้ใส่ใจเฉพาะ Feedback จากคนที่คุณตั้งใจจะเสิร์ฟเท่านั้น

คุณไม่ต้องการใบอนุญาต

ในอดีต เราต้องการ “Gatekeepers” (บรรณาธิการ, ค่ายเพลง, สถานีโทรทัศน์) เพื่ออนุมัติว่างานเราดีพอจะออกสู่สายตาโลกหรือไม่ แต่โลกยุคอินเทอร์เน็ตได้ทลายกำแพงนั้นลงแล้ว

J.K. Rowling ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ 12 แห่ง แต่สุดท้าย Harry Potter ก็ครองโลก นี่คือหลักฐานว่า Gatekeepers ไม่ได้ถูกเสมอไป ดังนั้นสิ่งที่วัดค่าความสำเร็จมี 2 อย่างคือ

  1. วัตถุประสงค์ที่คุณตั้งไว้
  2. ความพึงพอใจของผู้ชม (Audience)

คุณไม่ต้องการใบปริญญาเพื่อจะเป็นครีเอเตอร์ คุณแค่ต้องการ “มาตรฐานความดี” (Definition of Good) ของตัวคุณเอง และพยายามไปให้ถึงจุดนั้น

Thumbsup มองว่า Seth Godin ไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้คุณอ่านแล้วรู้สึกดี แต่เขาเขียนเพื่อให้คุณ “ขยับ” และหัวใจสำคัญของ The Practice คือ

  • Shipping: ส่งงานออกไป เพราะถ้าไม่เผยแพร่ มันก็ไม่นับ
  • Creative: คุณคือนักแก้ปัญหา ไม่ใช่อะไหล่ในโรงงาน
  • Work: มันไม่ใช่แค่งานอดิเรก จงทำมันอย่างมืออาชีพ

Thumbsup ขอท้าให้คุณเริ่มทำสิ่งง่าย ๆ แต่ทรงพลังที่สุดตามคำแนะนำของ Seth: “เริ่มเขียน Blog หรือสร้างคอนเทนต์ทุกวัน”

ไม่ต้องสนใจยอดไลก์ ไม่ต้องกังวลว่าจะซ้ำกับใคร การเขียนทุกวันจะช่วยลับคมความคิด และเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า “ฉันอยู่ที่นี่ และฉันมีของดีมานำเสนอ”

เริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะโลกกำลังรอผลงานของคุณอยู่

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: