เรื่องใหญ่ข้ามทวีปที่กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในแวดวงเศรษฐกิจและการเมืองโลก ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ “Government Shutdown” หรือการที่หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาต้องปิดทำการชั่วคราว หลังสภาคองเกรสและทำเนียบขาวภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันเส้นตายเที่ยงคืนของวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศที่อยู่ไกลตัว แต่ในฐานะคนทำงานในอุตสาหกรรมการตลาดและเทคโนโลยีที่ต้องเกาะติดชีพจรเศรษฐกิจโลกอยู่ตลอดเวลา Thumbsup ขอบอกเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และผลกระทบจากระลอกคลื่นครั้งนี้อาจซัดสาดมาถึงชายฝั่งประเทศไทยเร็วกว่าที่คิด บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงต้นตอของปัญหา วิเคราะห์เกมการเมืองที่ซ่อนอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือการ “มองข้ามช็อต” ไปยังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแบรนด์และนักการตลาดไทย

ภาพ Pixabay
เกิดอะไรขึ้นที่วอชิงตัน? สรุปเกมการเมืองที่นำไปสู่ Shutdown
ปรากฏการณ์ Government Shutdown ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน แต่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 ในยุคสมัยแรกของทรัมป์เช่นกัน ซึ่งครั้งนั้นกินเวลายาวนานเป็นประวัติการณ์ถึง 34 วัน สาเหตุหลักของวิกฤตครั้งนี้เกิดจาก “ทางตัน” ทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน
แม้ว่าพรรครีพับลิกันของทรัมป์จะครองเสียงข้างมากในสภาทั้งสองแห่ง แต่ในวุฒิสภา (Senate) การจะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้นั้นต้องการเสียงสนับสนุนถึง 60 เสียง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากฝั่งเดโมแครตด้วย แต่จนแล้วจนรอด ทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถหาจุดร่วมที่ลงตัวกันได้ โดยมีประเด็นขัดแย้งสำคัญคือ งบประมาณด้านสาธารณสุข
ฝั่งเดโมแครตยืนกรานที่จะต้องมีข้อกำหนดในการขยายงบประมาณสำหรับโครงการประกันสุขภาพ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “Obamacare” ซึ่งเงินอุดหนุนกำลังจะหมดอายุลง และอาจส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันของประชาชนพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ในขณะที่ฝั่งรีพับลิกันปฏิเสธที่จะเจรจาในประเด็นนโยบายเหล่านี้ในร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น และยืนยันที่จะผ่านงบประมาณตามระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายนก่อน แล้วค่อยไปว่ากันในกระบวนการปกติ
ผลลัพธ์คือ สภาสูงปฏิเสธร่างกฎหมายทั้งจากฝั่งรีพับลิกันและเดโมแครตไม่กี่ชั่วโมงก่อนเส้นตาย นำไปสู่การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลางอย่างเป็นทางการ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีในสหรัฐฯ คือพนักงานของรัฐบาลกลางราว 750,000 คนต้องถูกพักงาน (furlough) โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ในตำแหน่งที่จำเป็นต่อความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศ เช่น เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในสนามบิน (TSA), เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ, ตำรวจ และทหาร ยังคงต้องทำงานต่อไปโดยไม่ได้รับเงินเดือนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อขวัญและกำลังใจ รวมถึงเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สงครามน้ำลายและการชิงไหวพริบ ใครจะโดน ‘โบ้ย’ ความผิด?
เบื้องหลังทางตันด้านงบประมาณ คือเกมการเมืองที่เข้มข้นเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสายตาของสาธารณชน ทั้งสองฝ่ายต่างโยนความผิดให้กันและกัน โดย จอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน เปรียบเปรยว่าพรรคเดโมแครตกำลัง “จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน” เพื่อต่อรองในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ในทางกลับกัน ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ก็กล่าวหาว่าพรรครีพับลิกันกำลัง “ผลักอเมริกาเข้าสู่ภาวะ Shutdown” ด้วยการปฏิเสธการเจรจาแบบสองฝ่ายและผลักดันร่างกฎหมายของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว
สถานการณ์ยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย โดยการโพสต์วิดีโอที่สร้างจาก AI ในเชิงล้อเลียนผู้นำเดโมแครต ทำให้เกิดการโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน และสะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวลึกที่ยากจะประสานในเร็ววัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ “ศาลประชาชน” หรือความคิดเห็นของสาธารณชนจะตัดสินอย่างไร ผลสำรวจจาก The New York Times ชี้ว่า 26% โทษทรัมป์และรีพับลิกัน, 19% โทษเดโมแครต, แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ 33% ที่มองว่าทั้งสองฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนเริ่มเอือมระอากับเกมการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาโดยตรง
ผลกระทบ Government Shutdown ที่แบรนด์และนักการตลาดไทยต้องรู้
แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นที่อีกซีกโลกหนึ่ง แต่ในยุคที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดนเช่นนี้ ผลกระทบย่อมส่งต่อกันเป็นทอด ๆ เหมือนโดมิโน่ และนี่คือประเด็นที่คนในวงการอย่างเราต้องจับตาเป็นพิเศษ:
- ความผันผวนของค่าเงินและตลาดทุน: ข่าวความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนทั่วโลก สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือปรากฏการณ์ “Flight to Safety” ที่นักลงทุนจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย) และหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย (เช่น ทองคำ, เงินดอลลาร์สหรัฐ, หรือเงินฟรังก์สวิส) ซึ่งในมุมของนักการตลาดอาจเกิดต้นทุนที่ผันผวนเกี่ยวกับการทำตลาดดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้
- กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค: วิกฤตในสหรัฐฯ จะบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในภาพรวม แม้จะยังไม่ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของคนไทยในทันที แต่ข่าวสารเหล่านี้จะสร้างบรรยากาศของความไม่แน่นอน ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยอาจเริ่ม ชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่มีราคาสูง เพื่อรอดูสถานการณ์ แบรนด์ต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับ Sentiment ของตลาดที่เปราะบางขึ้น
- ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและส่งออก: สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสำคัญทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย หากสถานการณ์ Shutdown ยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของชาวอเมริกันโดยตรง ทำให้พวกเขาอาจลดการใช้จ่ายและชะลอแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ขณะเดียวกัน การดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการส่งออกในสหรัฐฯ ที่ชะงักงัน อาจสร้างความล่าช้าและอุปสรรคให้กับซัพพลายเชนได้ในระยะยาว
- การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของแบรนด์ระดับโลก: แบรนด์ใหญ่ๆ ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ อาจต้องปรับแผนการลงทุนและการตลาดทั่วโลกเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในบ้านตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลต่องบประมาณการตลาดในระดับภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
Thumbsup มองว่า เหตุการณ์ U.S. Government Shutdown ครั้งนี้ เป็นมากกว่าแค่ข่าวการเมืองต่างประเทศ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความเปราะบางและความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก มันตอกย้ำให้เห็นว่าในยุคดิจิทัล ไม่มีอะไรที่ “ไกลตัว” อีกต่อไป ทุกการตัดสินใจในห้องประชุมที่วอชิงตัน ดี.ซี. สามารถสร้างแรงกระเพื่อมมาถึงแผนการตลาดและงบประมาณโฆษณาของแบรนด์ในกรุงเทพฯ ได้
สำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจในไทย นี่คือช่วงเวลาที่ต้อง “ตั้งการ์ดสูง” และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ความสามารถในการปรับตัว (Agility) จะกลายเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด เราต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด, การตั้งราคา, และการบริหารงบประมาณให้สอดคล้องกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับตาดูอัตราแลกเปลี่ยนและ Sentiment ของผู้บริโภค
สุดท้ายนี้ วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนให้เรารู้ว่า การวางแผนธุรกิจและการตลาดในปัจจุบันจำเป็นต้องมี “Scenario Planning” หรือการวางแผนเผื่อสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ เพราะโลกที่เราอยู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และผู้ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในสนามรบที่ดุเดือดนี้
อ้างอิง // NBC News



