ในโลกของการตลาดยุคดิจิทัลที่รันเวย์ย้ายมาอยู่บนหน้าจอมือถือ และทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูล สิ่งหนึ่งที่คนทำงานสายการตลาดและเจ้าของธุรกิจจะมองข้ามไม่ได้เลยคือ ประสบการณ์การชำระเงิน เพราะต่อให้สินค้าคุณดีแค่ไหน หรือแคมเปญจะปังเพียงใด แต่ถ้าขั้นตอนสุดท้ายอย่างการ จ่ายเงิน มันติดขัด ทุกอย่างที่ทำมาก็อาจสูญเปล่า
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับ Visa ประเทศไทย ได้เผยแพร่รายงานชุดสำคัญ Data-Driven Insights into Tourist Payment Behaviours ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่รายงานสถิติ แต่เป็นภาพสะท้อนโอกาสมหาศาลที่ซ่อนอยู่ใน ช่องว่าง ของระบบการเงินไทย ท่ามกลางการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ในปี 2024 มียอดนักท่องเที่ยวสูงถึง 35.5 ล้านคน

เค้กชิ้นใหญ่ที่ต้องใช้ “ดิจิทัล” ตัก
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปี 2024 สร้างรายได้หมุนเวียนถึง 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศจะพบว่าภาคการท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจไทยถึง 9% โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึงกว่า 70%
เมื่อพิจารณาในมุมของนักการตลาด ข้อมูลที่น่าสนใจคือ เงินเหล่านี้ไหลไปที่ไหน?
- ค่าที่พัก (Accommodation): ครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 35%
- อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage): ตามมาที่ 23%
- การช้อปปิ้ง (Shopping): อยู่ที่ 19%
- ความบันเทิงและอื่น ๆ: อีกราว 23% ที่กระจายตัวอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลัก
ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารคือหน้าด่านสำคัญที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด แต่คำถามคือ ระบบการรับชำระเงินของเราพร้อมที่จะรองรับเม็ดเงินดิจิทัลเหล่านี้แล้วหรือยัง? เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคนี้เปลี่ยนไปไกลกว่าที่เราคิดมาก
ทำไมเงินสดยังครองเมือง แม้โลกจะไปดิจิทัล?
ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดในรายงานคือ ในปี 2024 การใช้เงินสดยังคงครองสัดส่วนมูลค่าธุรกรรมสูงถึง 78% สาเหตุหลักไม่ได้มาจากนักท่องเที่ยวไม่อยากใช้ดิจิทัล แต่เกิดจาก ความจำเป็น เพราะร้านค้าขนาดเล็กและไมโครธุรกิจในไทยจำนวนมากยังขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรับชำระเงินดิจิทัล
อย่างไรก็ตามการใช้ บัตรชำระเงิน กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมียอดใช้จ่ายพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 3.27 แสนล้านบาท ในปี 2024 พร้อมจำนวนธุรกรรมกว่า 100 ล้านรายการ ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 เสียอีก นี่คือสัญญาณว่าถ้าร้านค้ามีระบบรับชำระ นักท่องเที่ยวพร้อมที่จะ รูด หรือ แตะ ทันที โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มองหาความสะดวกและความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
เจาะอินไซต์ 3 ชาติสายเปย์อย่าง มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้
การทำการตลาดแบบ หว่านแห ใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคนี้ เราต้องเข้าใจพฤติกรรมเฉพาะของแต่ละสัญชาติ ซึ่งรายงานฉบับนี้เจาะลึกไว้ได้น่าสนใจ
“นักท่องเที่ยวมาเลเซีย” ชาวดิจิทัลที่เปย์แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ: มาเลเซียถือเป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับดิจิทัลสูงมาก ส่วนใหญ่เน้นเที่ยวเมืองเดียวและใช้เวลาสั้น ๆ ประมาณ 4 วัน พฤติกรรมที่น่าสนใจคือ 87% ใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญคือกว่า 34% ของธุรกรรมคือยอดที่ต่ำกว่า 500 บาท โดยเฉพาะในร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารตามสั่งหรือร้านของฝากที่มีระบบรับบัตรจะได้ใจคนกลุ่มนี้มาก เพราะเขาพร้อมแตะบัตรแม้จะซื้อมื้อเล็ก ๆ
“นักท่องเที่ยวอินเดีย” สายลุยที่ต้องตุนเงินสด: ชาวอินเดียเริ่มขยายเส้นทางไปหลายเมืองมากขึ้น ทั้งพัทยา ภูเก็ต และกระบี่ พักเฉลี่ยประมาณ 6 วัน แม้จะมีการใช้บัตรสูงถึง 71% แต่การถอนเงินสดก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น มียอดถอนเงินสดเฉลี่ยต่อบัตรสูงถึง 22,000 บาท ซึ่งสะท้อนว่าในเมืองรองหรือจุดท่องเที่ยวที่พวกเขาไป ระบบรับชำระดิจิทัลยังเข้าไม่ถึง ทำให้เขาต้องสำรองเงินสดไว้จำนวนมาก
“นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้” สายเปย์คุณภาพที่อยากใช้บัตร: คนเกาหลีพักยาวที่สุดเฉลี่ย 9 วัน และมีความนิยมใช้บัตรสูงสุดถึง 95% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด เรียกว่าเป็นกลุ่มที่ Cashless เกือบ 100% แต่จุดที่น่าสังเกตคือยอดถอนเงินสดเฉลี่ยต่อบัตรกลับสูงถึง 26,000 บาท ซึ่งคิดเป็น 2 เท่าของยอดรูดจ่ายปกติ นั่นหมายความว่าคนเกาหลีพยายามใช้บัตร แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนถอนเงินสดจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายในจุดที่รับแต่เงินสดเท่านั้น
กรุงเทพฯ นำโด่ง เมืองรองยังรอคอย
เมื่อมาดูการกระจายตัวของอุปกรณ์รับชำระเงิน หรือ EDC จะเห็นภาพชัดเจนว่าทำไมเงินสดยังจำเป็นในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ ปัจจุบันเครื่อง EDC กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงถึง 37% ทิ้งห่างเมืองท่องเที่ยวอื่นอย่างชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ตไปหลายเท่าตัว
ในส่วนของ Cross-border QR Payment แม้จะมีการเติบโตโดยมีมาเลเซียเป็นผู้นำ แต่ในฝั่งร้านค้า SME ยังพบปัญหาเรื่อง การขาดความรู้ ว่า QR Code แบบไหนที่รองรับการจ่ายจากต่างประเทศ และร้านที่รับ QR ข้ามพรมแดนได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รับบัตรควบคู่ไปด้วย ทำให้เสียโอกาสในการปิดการขายกับกลุ่มที่ถือบัตรเครดิตระดับพรีเมียม
หลังจากนี้คนในธุรกิจท่องเที่ยว การปรับตัวไม่ได้หมายถึงแค่การเปลี่ยนสินค้า แต่คือการเปลี่ยน ประสบการณ์การจ่ายเงิน การนำเทคโนโลยีอย่าง Mobile Tap to Phone ที่เปลี่ยนมือถือให้เป็นเครื่องรับชำระเงิน จะเข้ามาทลายข้อจำกัดเรื่องต้นทุนเครื่อง EDC และค่าธรรมเนียมเดิม ๆ ช่วยให้ร้านค้าเล็ก ๆ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่กังวลเรื่องการจัดการเงินสดที่มีสูงถึง 81% ได้ทันที
Thumbsup มองว่า รายงานจาก BOT และ Visa ฉบับนี้คือกระจกสะท้อนว่าประเทศไทยยังรวยได้มากกว่านี้ หากเราสามารถปิดช่องว่าง Digital Gap ได้สำเร็จ
าการที่นักท่องเที่ยวสัดส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งเงินสด ไม่ใช่เพราะ ความชอบ แต่เป็นเพราะ ความจำใจ เมื่อเราพิจารณาว่ากลุ่ม Millennials และ Gen Z กำลังกลายเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก ซึ่งคนรุ่นนี้โตมากับความรวดเร็วและไร้สัมผัส หากเรายังบังคับให้เขาต้องเดินหาตู้ ATM และเสียค่าธรรมเนียมการถอนเงินที่ซ้ำซ้อน เรากำลังสร้างกำแพงกั้นกำไรของตัวเอง
การนำเทคโนโลยีอย่าง Mobile Tap to Phone หรือ Unified QR เข้ามาใช้ คือ ตัวเปลี่ยนเกมที่แท้จริงสำหรับ SME มันทำให้แม่ค้าตัวเล็ก ๆ สามารถรับเงินจากคนทั่วโลกได้เพียงแค่มีมือถือเครื่องเดียว และเมื่อ การจ่ายเงิน ง่ายขึ้น การตัดสินใจซื้อ ก็จะพุ่งสูงขึ้นตามกฎของ Impulse Purchase ทันที
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองว่า Payment ไม่ใช่แค่เรื่องของฝ่ายบัญชี แต่มันคือ Core Marketing Strategy ที่จะส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ World-class Destination ที่พร้อมรับโลกอนาคตอย่างเต็มภาคภูมิ
อ่านเพิ่มเติม



