Formula 1

หากจะพูดถึงกีฬาที่ผสมผสานเทคโนโลยีชั้นสูงเข้ากับศิลปะการตลาดระดับโลกได้อย่างลงตัวที่สุด วินาทีนี้คงหนีไม่พ้น Formula 1

ในยุคที่ Liberty Media เข้ามาบริหาร เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เปลี่ยน “สนามแข่ง” ให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มบันเทิงและธุรกิจ” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ล่าสุดข้อมูลจาก Sportico ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า มูลค่ารวมของทั้ง 10 ทีมในการแข่งขัน F1 ปี 2025 นั้นพุ่งสูงแตะระดับ 34.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 1 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว

วันนี้ Thumbsup จะพาเจาะลึกเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ ว่าทำไมทีมแข่งรถถึงมีมูลค่ามหาศาล แบรนด์ต่าง ๆ ได้อะไรจากการทุ่มเงินสปอนเซอร์ และทำไม “ม้าลำพอง” ถึงยังคงเป็นเบอร์หนึ่งที่ใครก็โค่นไม่ลง

Formula 1

ใครคือราชาแห่งความเร็วและเม็ดเงิน?

จากการจัดอันดับของ Sportico ที่ใช้วิธีการคำนวณ Enterprise Value โดยอิงจากรายได้ (Revenue), ผลกำไร และปัจจัยอื่น ๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาสะท้อนภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน

  1. Scuderia Ferrari: ยังคงครองบัลลังก์อันดับ 1 ด้วยมูลค่าสูงถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์
  2. Haas F1 Team: รั้งท้ายตาราง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีมูลค่าสูงถึง 1.68 พันล้านดอลลาร์

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ใครที่หนึ่งหรือที่สุดท้าย แต่อยู่ที่ “ช่องว่าง” และ “มาตรฐาน” ใหม่ของวงการ เพราะแม้แต่ทีมที่เล็กที่สุดอย่าง Haas ก็ยังมีมูลค่ากิจการระดับ “ยูนิคอร์น” (เกิน 1 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ระบบนิเวศของ F1 ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างมาก ไม่ใช่แค่การเผาเงินเล่นเหมือนในอดีตอีกต่อไป

Formula 1

ผ่าโครงสร้างรายได้ว่าเงินมาจากไหน?

เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวเลขมูลค่ากิจการเหล่านี้ Sportico ได้วิเคราะห์เจาะลึกจากงบการเงินสาธารณะ รายงานประจำปี และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับนายธนาคาร ทนายความ และผู้บริหารทีม โดยรายได้หลักของทีม F1 มาจาก 2 ถังใหญ่ ๆ คือ

1. Sponsorship: ขุมทรัพย์ที่เติบโตไม่หยุด

นี่คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทีมแข่ง ในปัจจุบันทีมส่วนใหญ่จะมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจไม่ต่ำกว่า 20-30 แบรนด์ โดยมูลค่าดีลมีตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึงระดับ Mega Deal อย่าง Title Sponsorship ที่มีมูลค่าสูงกว่า 70 ล้านดอลลาร์ต่อปี เช่น ดีลของ Oracle กับ Red Bull Racing หรือ Petronas กับ Mercedes

สิ่งที่นักการตลาดต้องจับตามองคือ “Growth Rate” หรืออัตราการเติบโต ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Aston Martin นับตั้งแต่ Lawrence Stroll เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในปี 2018 รายได้จากสปอนเซอร์ของทีมพุ่งทะยานขึ้นไปกว่า 1,000% นี่คือพลังของการ Rebrand และการบริหารจัดการที่ดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ทีมได้อย่างมหาศาล

2. Prize Money & Revenue Sharing: ระบบปันผลที่ทำให้ทุกคนอยู่รอด

F1 มีรายได้มหาศาลจากค่าธรรมเนียมจัดแข่ง (Race Promotion Fees), ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด (Media Rights) และอื่น ๆ โดยรายได้เหล่านี้จะถูกแบ่งสรรปันส่วนกลับคืนสู่ทีมแข่งตาม Concorde Agreement (สัญญาฉบับปัจจุบันครอบคลุมปี 2021-2025)

ในปี 2024 ที่ผ่านมา F1 ได้แบ่งเงินรางวัลรวมให้ทั้ง 10 ทีมไปกว่า 1.27 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 37% ของรายได้ทั้งหมดของ F1 การแบ่งเงินนี้จะพิจารณาจากผลงานในสนาม (Constructor Standings) และรายได้รวมของปีนั้น ๆ

The Ferrari Factor ทำไมม้าลำพองถึงได้สิทธิพิเศษ?

ในโลกธุรกิจ ความยุติธรรมอาจหมายถึงความเท่าเทียม แต่ในโลกของ Branding “ตำนาน” มีราคาที่ต้องจ่าย

Ferrari ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทีมแข่งรถ แต่เป็นสัญลักษณ์ (DNA) ของ F1 มาตั้งแต่ปี 1950 ความสัมพันธ์นี้แน่นแฟ้นถึงขนาดที่ Chase Carey อดีตซีอีโอของ F1 เคยกล่าวไว้ตอนเซ็นสัญญา Concorde Agreement ปี 2020 ว่า “Ferrari และ F1 เดินเคียงข้างกันมาตลอด และมันคือ DNA ของกีฬานี้”

ด้วยเหตุนี้ Ferrari จึงได้รับ “โบนัสพิเศษ” (Historical Standing Bonus) นอกเหนือจากเงินรางวัลปกติ ซึ่งเป็นเงินก้อนโตระดับหลายสิบล้านดอลลาร์ ที่ไม่มีทีมอื่นได้รับ นี่คือตัวอย่างของการสร้าง Brand Heritage ที่ทรงพลังจนสามารถแปลงเป็นเม็ดเงินได้จริง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มูลค่าทีมของ Ferrari พุ่งไปแตะระดับ 6.4 พันล้านดอลลาร์

F1 กับการเป็นมากกว่าแค่รถแข่ง

อีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการเพิ่มมูลค่ากิจการคือการแตกไลน์ธุรกิจ (Business Diversification) ทีมชั้นนำไม่ได้หารายได้จากการแข่งรถเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขานำ “องค์ความรู้” ไปขายด้วย

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Mercedes ที่เปิดตัวแผนก Applied Sciences ในปี 2019 เพื่อนำวิศวกรรมระดับ F1 ไปประยุกต์ใช้กับลูกค้าเจ้าอื่น เช่น ทีมเรือใบ INEOS Britannia ในการแข่งขัน America’s Cup การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้เพิ่ม (Licensing & Services) แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

Thumbsup มองว่า ตัวเลข 34.2 พันล้านดอลลาร์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจกีฬาที่ประสบความสำเร็จที่สุดกรณีหนึ่งของโลก การนำระบบ Cost Cap (เพดานงบประมาณ) มาใช้ในปี 2021 คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีม F1 เปลี่ยนสถานะจาก “ธุรกิจที่ขาดทุนเพื่อการโฆษณา” กลายเป็น “สินทรัพย์ที่ทำกำไร” (Positive Cash Flow)

สำหรับนักการตลาด บทเรียนจาก F1 คือเรื่องของ Ecosystem Design การสร้างระบบนิเวศที่ Win-Win ทั้งเจ้าของแพลตฟอร์ม (F1 Group), ผู้เล่น (Teams) และผู้สนับสนุน (Sponsors) เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแรง (ผ่าน Concorde Agreement) ผนวกกับพลังของแบรนด์ (อย่าง Ferrari หรือ Aston Martin) มูลค่ากิจการก็จะเติบโตอย่างยั่งยืน

ในปีหน้า สัญญา Concorde Agreement ฉบับใหม่กำลังจะเริ่มใช้บังคับ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่ามูลค่าของทีมเหล่านี้จะพุ่งทะยานไปได้ไกลอีกแค่ไหนในยุคที่ความเร็วคือเงินตรา

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: