Hi Dee Shabu

ในขณะที่ทุกคนกำลังจับตามอง “Suki Wars” หรือสงครามสุกี้ในไทยที่กำลังเดือดพล่าน ระหว่างเจ้าตลาดเดิมอย่าง MK ที่ส่ง “Bonus Suki” ลงมาเล่นตลาดล่าง และผู้ท้าชิงเงินหนาอย่าง CRG ที่เข้าซื้อ “Lucky Suki” ไปหมาด ๆ รวมถึง “สุกี้ตี๋น้อย” ที่เป็นเจ้าตลาดนี้อยู่ ล่าสุด พี่ใหญ่แห่งวงการหม้อไฟระดับโลกอย่าง Haidilao (ไห่ตี่เหลา) ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ตัดสินใจขยับตัวครั้งสำคัญแบบเงียบ ๆ

เพราะล่าสุดการปรากฏตัวของ “Hi Dee Shabu” (ไฮตี่ชาบู) ที่เซ็นทรัลพระราม 3 ไม่ใช่แค่การเปิดร้านใหม่ธรรมดา แต่มันคือการประกาศว่า Haidilao พร้อมแล้วที่จะลงมาคลุกฝุ่นในตลาด Mass Market ด้วยโมเดลราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้นเพียง 199 บาท

วันนี้ Thumbsup จะพาไปถอดรหัสเบื้องหลังกลยุทธ์นี้ โดยวิเคราะห์เจาะลึกจากงบการเงินและทิศทางธุรกิจระดับโลกของ Haidilao ว่าทำไมยักษ์ใหญ่ที่เน้น Service ระดับพรีเมียม ถึงยอม “ลดเพดานบิน” ลงมาเล่นในเกมราคานี้

Hi Dee Shabu

เมื่อ “พรีเมียม” เริ่มตึง “ความคุ้มค่า” คือทางรอด

หากดูจากรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2025 ของ Haidilao International Holding Ltd. เราจะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความจำเป็นในการปรับตัว

แม้รายได้รวมจะยังอยู่ในระดับสูงที่ 20,703 ล้านหยวน (ราว 9.4 แสนล้านบาท) แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือ กำไรสุทธิลดลง 13.7% เหลือ 1,754 ล้านหยวน และที่สำคัญคือ Table Turnover Rate ลดลงเหลือ 3.8 รอบต่อวัน จากเดิมที่เคยทำได้สูงกว่านี้

ผู้บริหารของ Haidilao ยอมรับในรายงานว่า ตลาดร้านอาหารกำลังเผชิญกับ “การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น” และ “ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป” ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในไทยและทั่วโลกที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงมองหา “ความคุ้มค่า” มากกว่าความหรูหราฟู่ฟ่า และนี่อาจเป็นเหตุผลที่โมเดล Hi Dee Shabu ถือกำเนิดขึ้น

Hai Di Lao

Hi Dee Shabu กับ Hybrid Model ที่มาอุดช่องว่าง

Hi Dee Shabu เลือกปักธงสาขาแรกที่ Central Rama 3 ซึ่งเป็นทำเลที่น่าสนใจ เพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของกลุ่มครอบครัวและคนทำงานที่มีกำลังซื้อ แต่ก็มีความ Sensitive เรื่องราคาในระดับหนึ่ง

โมเดลธุรกิจของ Hi Dee Shabu ฉีกจาก Haidilao ปกติอย่างสิ้นเชิง

  1. Hybrid Dining: เป็นการผสมผสานระหว่าง A La Carte (สั่งชุดเนื้อสัตว์เริ่มต้น) + Buffet Bar (ตักผัก ลูกชิ้น น้ำจิ้ม ข้าว ได้ไม่อั้น) โมเดลนี้คล้ายกับ “นักล่าหมูกระทะ” หรือร้านสุกี้สไตล์กึ่งบริการตัวเองที่กำลังฮิต
  2. Pricing Strategy: ราคาเริ่มต้นที่ชุดละ 199 บาท (หมูสามชั้น) ไปจนถึง 349 บาท (เนื้อวัว) บวกค่าบุฟเฟต์บาร์อีก 69 บาท และค่าน้ำซุป เมื่อรวมเบ็ดเสร็จ ยอดใช้จ่ายต่อหัว (Ticket Size) จะตกอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท ซึ่งถูกกว่า Haidilao ปกติที่เฉลี่ย 800-1,000 บาทเกินครึ่ง
  3. Solo Dining Friendly: การออกแบบร้านมีที่นั่งสำหรับทานคนเดียว ตอบโจทย์เทรนด์ Singles Economy ที่คนรุ่นใหม่นิยมทานข้าวคนเดียวมากขึ้น ซึ่งร้านสุกี้แบบดั้งเดิมมักไม่ตอบโจทย์ตรงนี้
@whatthefoxeats 💥Haidilao พระราม3 กลับมาแล้วรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ในแบรนด์ Hi Dee Shabu ราคาเริ่มต้น 199.- +บุฟเฟ่ต์น้ำจิ้มและของกินเล่นต่างๆ 69.- ของกินคือแน่นสุดๆๆ #haidilao #shabu #ชาบูหม่าล่า #หม่าล่า #บุฟเฟ่ต์ ♬ Stompin At The Savoy – Benny Goodman

Red Pomegranate Plan แผนลับแตกหน่อธุรกิจ

การแตกแบรนด์ลูกออกมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในรายงานประจำปี Haidilao ได้พูดถึง “Red Pomegranate Plan” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการแตกแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve

Haidilao ไม่ได้มีแค่หม้อไฟพรีเมียมอีกต่อไป พวกเขาเริ่มทำแบรนด์ปิ้งย่างอย่าง YEAH QING BBQ และร้านอาหารรูปแบบอื่น ๆ อีกกว่า 14 แบรนด์ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ

Hi Dee Shabu จึงอาจเป็นหนึ่งในผลผลิตของกลยุทธ์นี้ โดยใช้ Supply Chain ร่วมกับแบรนด์แม่ เพื่อคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด แต่ยังคงมาตรฐานรสชาติที่คนเชื่อถือได้

Hai Di Lao

Suki Wars 2026 สมรภูมิเดือดที่ไม่มีใครยอมใคร

การลงมาของ Hi Dee Shabu ทำให้ภาพการแข่งขันในตลาดสุกี้ไทยชัดเจนขึ้นว่า “ตลาดระดับกลาง-ล่าง” (Budget Segment) คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ใครก็อยากแย่งชิง

ลองดูคู่แข่งในตลาดตอนนี้

  • MK Restaurants: ส่ง “Bonus Suki” ลงมาเล่นตลาดบุฟเฟต์ 219 บาท พร้อมแผนขยาย 100 สาขา โดยใช้จุดแข็งเรื่องครัวกลางและโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งที่สุดในไทย
  • CRG (กลุ่มเซ็นทรัล): ทุ่ม 940 ล้านบาท เข้าถือหุ้น 40% ใน “Lucky Suki” เพื่อติดสปีดขยายสาขา ท้าชนเจ้าตลาดเดิม
  • สุกี้ตี๋น้อย: เจ้าตลาดบุฟเฟต์ราคาประหยัดที่ครองใจมหาชน และกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์

ในขณะที่ สุกี้ตี๋น้อย, MK และ Lucky Suki เลือกเล่นเกม “Buffet 100%” แต่ Haidilao เลือกทางเดินที่ต่างออกไปกับ Hi Dee Shabu ด้วยโมเดล “A La Carte + Add-on”

ตัวอย่างข้อดีของโมเดล Hi Dee Shabu

  • คุม Cost ได้ดีกว่า: การไม่ต้องทำบุฟเฟต์เนื้อสัตว์ ช่วยลดความเสี่ยงเรื่อง Food Waste และต้นทุนวัตถุดิบราคาแพง
  • จับกลุ่มลูกค้าที่ “กินน้อยแต่เน้นคุณภาพ”: ลูกค้าบางกลุ่มไม่อยากกินบุฟเฟต์เพราะรู้สึกต้องยัดเยียดตัวเองให้คุ้ม แต่ก็ไม่อยากจ่ายแพงระดับ Haidilao ปกติ
  • Flexibility: สามารถปรับเปลี่ยนเมนูและราคาได้ง่ายกว่าบุฟเฟต์ที่ล็อกราคาหัวไว้แล้ว

Thumbsup มองว่า การขยับตัวครั้งนี้ของ Haidilao คือ “ก้าวที่จำเป็น” ผ่าน 3 เหตุผลคือ

  1. รักษา Market Share: หาก Haidilao ยังกอดคอลูกค้ากลุ่มพรีเมียมไว้อย่างเดียว ในวันที่เศรษฐกิจซบเซา ลูกค้ากลุ่มนี้อาจจะ “ปันใจ” ไปหาตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า การมี Hi Dee Shabu มาดักไว้ (Flanker Brand) ช่วยให้เงินยังหมุนเวียนอยู่ในกระเป๋าของบริษัท
  2. ใช้ประโยชน์จาก Asset เดิม: สาขา Central Rama 3 เคยเป็น Haidilao มาก่อน การปรับโมเดลในพื้นที่เดิม (Renovate) แทนที่จะหาที่ใหม่ ช่วยลดต้นทุนการลงทุน (CAPEX) และเป็นการทดลองตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำ
  3. Brand Perception: การแยกชื่อเป็น “Hi Dee” (แม้ฟอนต์และสีจะคล้ายกัน) ช่วยป้องกันไม่ให้แบรนด์แม่ “Haidilao” ดูราคาถูกลง (Brand Dilution) ลูกค้ายังคงรับรู้ว่า Haidilao คือที่สุดของการบริการ ส่วน Hi Dee คือความคุ้มค่า

Hi Dee Shabu ไม่ใช่แค่ร้านสุกี้ราคาถูก แต่เป็นหมากตัวสำคัญในกระดานธุรกิจของ Haidilao Global ที่ต้องการกระจายรายได้และลดความเสี่ยง การลงมาเล่นตลาด Mass ครั้งนี้ จะทำให้คู่แข่งอย่าง สุกี้ตี๋น้อย, MK (Bonus Suki) และ Lucky Suki ต้องหันมามองค้อน เพราะถึงแม้ราคาจะชนกัน แต่ชื่อชั้นของแบรนด์แม่และมาตรฐานรสชาติของ Haidilao อาจเป็นแต้มต่อที่น่ากลัวที่สุด

สงครามหม้อไฟครั้งนี้ ผู้ชนะตัวจริงคือผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ที่มีทางเลือกอร่อย ๆ ในราคาสบายกระเป๋ามากขึ้น แต่สำหรับผู้ประกอบการ… นี่คือสงครามที่ห้ามกระพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: