ในโลกของการตลาดรถยนต์ การสร้าง ภาพจำ ให้แบรนด์มีความชัดเจนจนผู้บริโภครู้สึกถึงตัวตนคือความสำเร็จสูงสุด แต่ในบางครั้ง ภาพจำนั้นก็อาจถูกนำไปผูกโยงกับเรื่องราวที่แบรนด์ไม่ได้คาดคิด
วันนี้ Thumbsup จะพาคุณย้อนกลับไปดูเส้นทางของ Toyota Vellfire ยนตรกรรมที่ครองใจเหล่านักธุรกิจและผู้มีอิทธิพลมาอย่างยาวนาน พร้อมวิเคราะห์กรณีศึกษาที่ชื่อของรถหรูรุ่นนี้ได้กลายเป็นชื่อเรียกขานในคดีดังที่ติดเทรนด์การค้นหาอันดับหนึ่งในขณะนี้

เมื่อ “Velvet” มาพบกับ “Fire”
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2008 Toyota ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการมินิแวนด้วยการเปิดตัว Vellfire เป็นครั้งแรกผ่านเครือข่ายการจำหน่าย Netz ในญี่ปุ่น โดยแยกตัวออกมาจาก Alphard เพื่อสร้างความแตกต่างที่ชัดเจน ชื่อ Vellfire นั้นไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ แต่เป็นการผสมผสานคำว่า Velvet ที่หมายถึงความเงียบสงบ/นุ่มนวล และ Fire ที่หมายถึงความเร่าร้อน/ความหลงใหล เข้าด้วยกัน เพื่อสื่อถึงรถยนต์ที่มีบุคลิก เท่และน่าหลงใหล
ในขณะที่ Alphard ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถที่เน้นความ สง่างามและประณีต Vellfire กลับถูกออกแบบมาเพื่อคนที่ต้องการความ แข็งแกร่งและล้ำสมัย ด้วยดีไซน์ไฟหน้าสองชั้นที่เป็นเอกลักษณ์และกระจังหน้าที่ดูดุดันกว่า ซึ่งในเจเนอเรชันแรกนั้นมาพร้อมเครื่องยนต์ V6 3.5L และ 2.4L ที่พัฒนาให้มีสมรรถนะการขับขี่ที่คล่องตัวและประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
วิวัฒนาการสู่ “ห้องรับรองเคลื่อนที่” ระดับ First Class
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Vellfire กลายเป็นรถขวัญใจ บอส ทั่วเอเชีย คือการพัฒนาในเจเนอเรชันต่อ ๆ มาที่เน้นแนวคิด Grand Luxury Saloon ในปี 2015 Toyota ได้นำช่วงล่างหลังแบบ Double Wishbone มาใช้เพื่อยกระดับความนุ่มนวลให้เทียบเท่ากับรถซีดานระดับหรู และที่สำคัญที่สุดคือการเปิดตัวเกรด Executive Lounge
ภายในของเกรดพรีเมียมนี้คือคำนิยามของ ความใส่ใจ หรือ Omotenashi อย่างแท้จริง ด้วยเบาะนั่งที่กว้างขึ้น 100 มิลลิเมตร พร้อมระบบนวดและปรับอุณหภูมิ แสงไฟในห้องโดยสาร LED ที่ปรับได้ถึง 16 เฉดสี และระบบเสียง JBL 17 ลำโพง สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนการเดินทางบนท้องถนนให้กลายเป็นการพักผ่อนในเลานจ์ระดับห้าดาว ส่งผลให้ Vellfire ไม่ใช่เพียงแค่ยานพาหนะ แต่มันคือการประกาศ สถานะทางสังคม ของเจ้าของไปโดยปริยาย
ก้าวสู่ยุค TNGA และอนาคตที่ยั่งยืน
ล่าสุดในปี 2023 Toyota ได้เปิดตัวเจเนอเรชันที่ 4 ภายใต้แนวคิด Comfortable Mobile Joy โดยใช้แพลตฟอร์ม TNGA (GA-K) ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษสำหรับมินิแวน ช่วยให้ความแข็งแกร่งของตัวถังเพิ่มขึ้นถึง 50% และยังคงรักษาดีไซน์ที่ดุดันภายใต้คีย์เวิร์ด Forceful x IMPACT LUXURY
Vellfire ยุคใหม่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยสูงสุดอย่าง Toyota Safety Sense และฟีเจอร์ที่คิดเผื่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม เช่น Universal Step บันไดไฟฟ้าที่ยื่นออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดประตู รวมถึงการผลักดันระบบขับเคลื่อน Hybrid (HEV) เพื่อตอบโจทย์ Carbon Neutrality
เมื่อแบรนด์ถูกเปลี่ยนเป็นอัตลักษณ์บุคคล
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 วงการการตลาดและสังคมไทยต้องพบกับประเด็นร้อน เมื่อชื่อของ Vellfire ไปปรากฏเป็นฉายาของผู้ต้องหาในคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญ นายสงกรานต์ หรือ กาน เวลไฟร์ ถูกจับกุมในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่า จากเหตุการณ์ยิงกันบนทางด่วนประชาชื่นเพียงเพราะปมการขับรถปาดหน้ากัน
ในมุมมองของนักการตลาด นี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจเรื่อง Brand Association ผู้คนมักจะสร้าง Persona ผ่านสิ่งที่พวกเขาครอบครอง การที่ผู้กระทำผิดเลือกใช้ชื่อรุ่นรถหรูมาเป็นฉายา สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ Vellfire มีพลังในการสื่อถึง อิทธิพล และ ความเหนือกว่า สูงมาก จนถูกนำไปใช้เสริมความมั่นใจในทางที่ผิด
เมื่อภาพลักษณ์ของรถยนต์ที่ Toyota ตั้งใจสร้างให้เป็น ความสุขในการเดินทางที่คำนึงถึงผู้อื่น กลับถูกแทนที่ด้วยภาพความรุนแรงบนท้องถนน สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Brand Sentiment แม้ตัวสินค้าจะดีเยี่ยมเพียงใด แต่ Perception ของสังคมอาจเริ่มมองว่านี่คือรถของกลุ่มคนที่มีพฤติกรรม กร่าง หรือไม่เคารพกฎจราจร ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องรีบทำการสื่อสารเพื่อปรับจูนภาพลักษณ์ใหม่
Thumbsup มองว่า Toyota Vellfire คือผลงานชิ้นเอกทางการตลาดที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถครองใจกลุ่มนิชมาร์เก็ตได้อย่างเหนียวแน่น เส้นทางจากปี 2008 ถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคดิจิทัลไม่ใช่แค่การแข่งขันกับคู่แข่งในโชว์รูม หากแต่เป็นการรับมือกับ ความเข้าใจผิด และการนำแบรนด์ไปใช้เป็นเครื่องมือแสดงอำนาจของบุคคลเพียงบางกลุ่ม
ไม่ว่านวัตกรรมจะล้ำสมัยเพียงใด หรือเบาะนั่งจะนุ่มสบายแค่ไหน หัวใจสำคัญของการเป็น บอสที่แท้จริง คือความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทาง เหมือนที่แนวคิด Beyond Zero ของ Toyota พยายามสื่อสารว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมกับสังคมที่ดีขึ้น กรณีของ กาน เวลไฟร์ จึงเป็นบทเรียนราคาแพงที่ย้ำเตือนให้เราเห็นว่า พลังของแบรนด์นั้นยิ่งใหญ่ และเราควรใช้อำนาจที่มาพร้อมกับความสำเร็จนั้นอย่างสร้างสรรค์และมีวุฒิภาวะ
อ้างอิง: Toyota
อ่านเพิ่มเติม



