ในวงการ FMCG โดยเฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ชื่อของ โลแลน (Lolane) และภาพจำของ “ทรีตเมนต์กระปุกสีเขียวในตำนาน” คือสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงไทยมาหลายยุคสมัย เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมี Brand Loyalty ที่สูงมากในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Millennials ตอนต้น แต่เมื่อสมรภูมิด้านความงามเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการก้าวเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ และที่สำคัญคือการเติบโตขึ้นของกำลังซื้อหลักกลุ่มใหม่อย่าง Gen Z การหยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืนอีกต่อไป
ล่าสุด การขยับตัวครั้งใหญ่ของโลแลนด้วยการเปิดตัว “โลแลน เนทูร่า แฮร์ ไวตามิน บูสเตอร์ ทรีตเมนต์” พร้อมคอนเซ็ปต์ที่จี้ใจคนรุ่นใหม่ว่า “นุ่มลื่นทันที! ผมสวยตอนนี้เลย” ด้วยนวัตกรรมที่ทำให้ผมสวยสุขภาพดีใน 5 วินาที จึงไม่ใช่แค่การออกสินค้าใหม่ตามฤดูกาล แต่มันคือการส่งสัญญาณเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญว่า “เกมนี้ โลแลนเอาจริงในสนาม Gen Z”
บทความนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังการเดิมพันครั้งนี้ของโลแลน ว่าทำไมแบรนด์ระดับตำนานถึงต้องปรับตัวยกใหญ่ และกลยุทธ์ที่วางไว้จะสามารถซื้อใจผู้บริโภคที่ขึ้นชื่อว่าเข้าถึงยากที่สุดกลุ่มหนึ่งได้สำเร็จหรือไม่

เบื้องหลังการเดิมพัน? เมื่อตัวเลขส่งสัญญาณให้ต้องหา Growth Engine ใหม่
การจะเข้าใจการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เราต้องมองให้ลึกกว่าแค่ตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ต้องมองไปที่ภาพรวมของธุรกิจ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลงบกำไรขาดทุนของ บริษัท เอส.ซี.เสรีชัยบิวตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของโลแลน จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่น่าสนใจ
จากข้อมูลช่วงปี 2563 – 2567 รายได้หลักและรายได้รวมของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุดในปี 2565 ก่อนจะเริ่มชะลอตัวและปรับตัวลดลงในปี 2566 และ 2567 โดยรายได้หลักในปี 2567 ปิดที่ 1,075 ล้านบาท ลดลง 5.96% จากปีก่อนหน้า และรายได้รวมอยู่ที่ 1,195 ล้านบาท ลดลง 4.30% แม้ว่ากำไรสุทธิจะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 6.09% ในปี 2567 แต่ภาพรวมของรายได้ที่ลดลง 2 ปีซ้อน เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าตลาดเดิมอาจเริ่มถึงจุดอิ่มตัว และบริษัทจำเป็นต้องหา ‘เครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโต’ (New Growth Engine) ตัวใหม่
การเจาะตลาด Gen Z จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น ‘ทางรอด’ เชิงกลยุทธ์ และเป็นโอกา
ถ้าใครได้ติดตามข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาจาก MI GROUP ที่เพิ่งออกมาคงจะรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ กันอยู่ไม่น้อย ตัวเลขการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่โตขึ้นเพียง 1.1% และคาดการณ์ทั้งปีที่โตแบบชะลอตัวสุดๆ ที่ 1.5% นั้น เป็นสัญญาณเตือนชั้นดีว่าสมรภูมินี้ “ไม่หมู” อีกต่อไป ปัจจัยลบรอบด้านไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ, ภัยธรรมชาติ, ไปจนถึงข้อพิพาทชายแดน ล้วนส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการใช้จ่าย
แต่โจทย์ที่ท้าทายที่สุดสำหรับคนทำงานอย่างเรา ๆ คือปรากฏการณ์ที่ MI GROUP เรียกว่า “เมื่อทุกคนคือผู้ขาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ขายได้” การเติบโตของ Social Commerce ทำให้ตลาดตอนนี้เต็มไปด้วยผู้ขายมืออาชีพกว่า 3 ล้านราย และมือสมัครเล่นอีกกว่า 9 ล้านราย ในขณะที่ผู้ซื้อกลับระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้นสวนทางกับประสิทธิภาพที่ลดลง การจะเข้าถึง (Reach) ลูกค้าก็แพงขึ้น แต่การจะสร้างความสนใจ (Attention) และเปลี่ยนเป็นยอดขาย (Conversion) กลับยากเย็นแสนเข็ญกว่าเดิม
ท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือดนี้เอง EGG Digital หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและ MarTech ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัว 3 โซลูชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายใต้แนวคิด “SMART DATA MATCHING TO TURN CHALLENGES INTO GROWTH” หรือการเปลี่ยนทุกความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโต 8 ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการขยับตัวที่ถูกที่ถูกเวลาและน่าจับตามองอย่างยิ่ง
โจทย์ใหญ่เมื่อ Influencer ล้นตลาด แล้วใครคือ “ตัวจริง”?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ Influencer Marketing กลายเป็นเครื่องมือหลักที่แบรนด์ขาดไม่ได้ไปแล้ว ข้อมูลระบุชัดเจนว่าผู้บริโภคเชื่อถือสื่อเฉพาะบุคคลมากขึ้น และงบโฆษณากว่า 30% ก็ถูกเทไปที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะในกลุ่ม FMCG และ Beauty แต่ปัญหาที่ตามมาคือ “ความเกร่อ” และ “การวัดผล” ที่ยังคงเป็นเรื่องน่าปวดหัวของนักการตลาด การเลือกอินฟลูฯ ที่ผิด ไม่ใช่แค่การเสียเงินเปล่า แต่ยังอาจทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เลย
EGG Digital เสนอทางออกด้วย Influmatch.AI Platform ซึ่งถ้ามองเผิน ๆ อาจจะเหมือนแพลตฟอร์มค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ทั่วไป แต่หัวใจของมันคือการใช้ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา แทนที่จะเลือกจากยอด Follower หรือภาพลักษณ์ผิวเผิน AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทั้งกลุ่มผู้ติดตาม, อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) และความเหมาะสมกับแคมเปญ เพื่อให้ได้ “Perfect Matches” ที่ไม่ใช่แค่ “ดูดี” แต่ “ใช่” สำหรับแบรนด์จริง ๆ
ในมุมมองของคนทำงาน นี่คือการยกระดับจากการทำการตลาดแบบ “คาดเดา” ไปสู่การตัดสินใจบน “ข้อมูล” (Data-Driven) อย่างแท้จริง มันตอบโจทย์กลยุทธ์ “เข้าใจเก่ง” ที่ MI GROUP แนะนำไว้เป๊ะ ๆ คือการเลือกสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ “อิน” กับแบรนด์จริง ๆ และยังสามารถนำไปต่อยอดกับการทำ “Tribal Marketing” ที่เน้นสร้างคอมมูนิตี้สำหรับกลุ่ม Gen Z ตามแนวทางของ SPA-Hakuhodo ได้อีกด้วย การมีอินฟลูเอนเซอร์กว่า 100,000 คนในฐานข้อมูล พร้อม AI ช่วยคัดกรอง ย่อมดีกว่าการสุ่มหาเอาเองในมหาสมุทรโซเชียลมีเดียแน่นอน
Admatch.AI วอร์รูมสู้ศึกค่าโฆษณาสุดโหด
อีกหนึ่ง Pain Point สุดคลาสสิกของนักการตลาดดิจิทัลคือความซับซ้อนในการบริหารจัดการโฆษณาบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Google, TikTok และอื่น ๆ การที่จะบริหารแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเห็นภาพรวมได้ในที่เดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
Admatch.AI ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “Command Center” หรือศูนย์บัญชาการสำหรับจัดการโฆษณาออนไลน์ ช่วยให้นักการตลาดสามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้จากหน้าจอเดียว ลดความซับซ้อนและประหยัดเวลาไปได้มหาศาล แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ “บริการเสริม” ที่ให้มาด้วย ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแลและแก้ปัญหาแบบเรียลไทม์, การจัดเวิร์กช็อปให้ความรู้ ไปจนถึง AdChat ที่พร้อมให้คำปรึกษา 24/7
นี่คืออาวุธที่ออกมาเพื่อต่อสู้กับปัญหา “ต้นทุนการตลาดสูงขึ้น” โดยตรง ในยุคที่ทุกคลิกมีราคาแพง การบริหารจัดการที่ผิดพลาดหมายถึงงบประมาณที่ละลายหายไปในอากาศ การมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานได้ “ฉลาดขึ้น” และ “มีประสิทธิภาพมากขึ้น” พร้อมทีมซัพพอร์ต ย่อมเป็นแต้มต่อที่สำคัญในสนามรบดิจิทัล เหมือนกับที่แบรนด์แฟชั่นไทยบน Shopee ประสบความสำเร็จจากการใช้เครื่องมือโฆษณาของแพลตฟอร์มอย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
Lucky Boost Campaign เปิดประตู MarTech ให้ SMEs เข้าถึงได้จริง
โซลูชันสุดท้ายอาจจะเป็นไฮไลท์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย นั่นคือ Lucky Boost Campaign for SMEs ที่ผ่านมาเครื่องมืออย่างระบบ CRM หรือโปรแกรมสะสมแต้ม มักจะเป็นของเล่นราคาแพงสำหรับองค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ทำให้ SMEs เสียเปรียบในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า (Customer Retention)
EGG Digital พลิกเกมด้วยการนำเสนอระบบ CRM ในโมเดล “Pay-Per-Use” ที่กล้าประกาศว่า ฟรีค่าติดตั้งและค่าบริการรายเดือน! โดยจะคิดค่าบริการก็ต่อเมื่อมีลูกค้าเข้ามาใช้งานหรือร่วมกิจกรรมเท่านั้น นี่คือการทลายกำแพงทางการเงินที่เคยขวางกั้น SMEs ออกจากเครื่องมือการตลาดระดับ Enterprise อย่างสิ้นเชิง
แคมเปญนี้ (ซึ่งจำกัดเพียง 100 แบรนด์) มาพร้อมฟีเจอร์ครบครัน ตั้งแต่การตรวจเช็คใบเสร็จ, การสะสมแต้ม, การแลกของรางวัล, การบริหารจัดการร้านค้า ไปจนถึงระบบรีพอร์ตที่แสดงผลแบบเรียลไทม์ มันคือการติดอาวุธให้ปลาเล็กสามารถต่อสู้กับปลาใหญ่ได้อย่างสูสีมากขึ้น เป็นการตอบโจทย์กลยุทธ์ “Connection before Conversion” สร้างความสัมพันธ์ก่อนการขาย ที่จะช่วยสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งและภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
Thumbsup มองว่า การเปิดตัว 3 โซลูชันของ EGG Digital ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่มันคือการประกาศจุดยืนและคำตอบที่ชัดเจนต่อความท้าทายที่อุตสาหกรรมการตลาดกำลังเผชิญอยู่ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่วิเคราะห์ปัญหาจากข้อมูลของตัวเอง แต่ยังนำเสนอเครื่องมือที่สอดรับกับคำแนะนำของเอเจนซี่ชั้นนำอย่าง MI GROUP และเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคจาก SPA-Hakuhodo ได้อย่างลงตัว
ในยุคที่เศรษฐกิจเปราะบางและตลาดเต็มไปด้วยผู้ขาย การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ “ใครตะโกนดังกว่า” อีกต่อไป แต่วัดกันที่ “ใครเข้าใจลูกค้าและใช้เครื่องมือได้ฉลาดกว่า” การผสมผสานพลังของ Big Data เข้ากับ AI เพื่อสร้าง Dynamic Personalization กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ
สำหรับนักการตลาดและผู้ประกอบการ นี่คือสัญญาณว่าเราต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน การพึ่งพาความรู้สึกหรือวิธีการเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเปิดใจรับเทคโนโลยี MarTech ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ที่จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอสิ่งที่ “ใช่” ให้กับลูกค้าที่ “ใช่” ในเวลาที่ “ใช่” ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว นี่คือหัวใจสำคัญของการตลาดที่จะทำให้แบรนด์สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสมรภูมิที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้
สในการสร้างฐานลูกค้าแห่งอนาคต เพื่อให้แบรนด์ยังคงความแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปได้ในทศวรรษหน้า
ความท้าทายที่ใหญ่กว่ายอดขาย การทลายกำแพง “แบรนด์รุ่นแม่”
ประเด็นที่ถือเป็นหัวใจและเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดของโลแลนในเกมนี้ คือการเอาชนะภาพจำของแบรนด์ที่สั่งสมมานาน หรือ “Brand Perception Legacy” นั่นเอง การเป็น “ทรีตเมนต์กระปุกเขียวในตำนาน” คือดาบสองคมที่ทรงพลัง มันคือสินทรัพย์ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้ากลุ่มเดิม แต่ขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงในใจของ Gen Z ว่านี่คือ “แบรนด์ของคุณแม่” หรือ “ของที่คนแก่ใช้”
Gen Z ขึ้นชื่อเรื่อง “Authenticity Filter” ที่ไวมาก พวกเขาสามารถสัมผัสได้ทันทีว่าแบรนด์ไหน “พยายาม” จะเป็นพวกเดียวกับเขา หรือแบรนด์ไหน “เข้าใจ” เขาจริง ๆ การสื่อสารที่ผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจถูกมองว่า “Cringe” และถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ภารกิจของโลแลนจึงไม่ใช่แค่การทำให้คนรุ่นใหม่รู้จักสินค้า แต่คือการ “รีเฟรชภาพลักษณ์” เปลี่ยนสถานะจากแบรนด์ที่ถูก ส่งต่อ มาให้ใช้ เป็นแบรนด์ที่ Gen Z รู้สึกว่าได้ เลือกเอง เพราะความเจ๋งและตัวตนของแบรนด์นั้นตรงกับพวกเขาอย่างแท้จริง
ถอดรหัสกลยุทธ์เจาะ Gen Z ผ่านเลนส์ ‘Human-Centric’
เมื่อโจทย์คือการทลายกำแพงและสร้างความเชื่อมโยง โลแลนไม่ได้เพียงแค่สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ Pain Point เรื่องผมเสียจากการทำเคมีและความต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ แต่ยังวางกลยุทธ์การตลาดที่สะท้อนความเข้าใจในพฤติกรรมของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
จากงานวิจัย Daring Palette ของ สปา-ฮาคูโฮโด ได้จำแนก Gen Z (อายุ 18-27 ปี) ว่าเป็นกลุ่ม THE CHANGE MAKERS ที่มี “Activist purple” เป็นเฉดสีประจำตัว พวกเขาไม่เดินตามใคร กล้าท้าทายระบบ และต้องการสร้างโลกใหม่ในแบบของตัวเอง การจะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ต้องใช้กลยุทธ์แบบ “Tribal marketing” คือการสร้าง Community และใช้ภาษาเดียวกันกับพวกเขา เราจะเห็นภาพสะท้อนของแนวคิดนี้ในกลยุทธ์ของโลแลนอย่างชัดเจน:
- เลือกพรีเซนเตอร์ที่ใช่: การเลือก คุณญดา-นริลญา ซึ่งเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์ทันสมัยและเป็นที่รู้จักในกลุ่ม Gen Z ถือเป็นการเลือกตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถสื่อสารและสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง
- บุกถึงถิ่น: การจัดกิจกรรมโรดโชว์ที่สยามสแควร์และอาคารสำนักงานใจกลางเมือง คือการนำแบรนด์เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย สร้างประสบการณ์ตรง (First-hand Experience) และเปิดโอกาสให้เกิดการทดลองใช้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความไว้วางใจและทลายกำแพงอคติ
- ใช้ภาษาเดียวกัน: คอนเซ็ปต์ “ผมสวยใน 5 วินาที” คือการสื่อสารด้วยภาษาที่สั้น กระชับ และตรงไปตรงมา ตอบสนองต่อพฤติกรรมของ Gen Z ที่ต้องการผลลัพธ์แบบทันที (Instant Gratification) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “Indulgence marketing” ที่เน้นการตอบสนองความสุขของตัวเองในทันที
สมรภูมิที่ ‘ทุกคนคือผู้ขาย’ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะ ‘ขายได้’
การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทายอย่างยิ่ง ข้อมูลจาก MI GROUP ชี้ให้เห็นว่าภูมิทัศน์การตลาดในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยสภาวะ ‘ผู้ขายล้นตลาด’ จากการเติบโตของ Social Commerce ที่ทำให้ใคร ๆ ก็เป็นผู้ขายได้ ในขณะที่ผู้ซื้อกลับระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการตลาดสูงขึ้น แต่การจะเปลี่ยนความสนใจให้เป็นยอดขาย (Conversion) กลับยากขึ้นกว่าเดิม
ในสถานการณ์เช่นนี้ MI GROUP ได้เสนอแนวทางรอดสำหรับแบรนด์คือการเปลี่ยนจากการเน้น “ขายให้ได้” ไปสู่ “ขายให้โดนใจ” ผ่านกลยุทธ์ “เข้าใจเก่ง” ซึ่งหนึ่งในหัวใจสำคัญคือการ “สร้างความสัมพันธ์ก่อนการขาย (Connection before Conversion)”
กลยุทธ์ของโลแลนในการทุ่มงบกระจายสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อสร้างการรับรู้และแจกสินค้าตัวอย่าง รวมถึงการมอบคูปองส่วนลดเพื่อกระตุ้นการซื้อบนช่องทางออนไลน์ ล้วนเป็นแทคติกที่สอดคล้องกับแนวทางนี้ เป็นการสร้าง
Connection ผ่านกิจกรรมภาคพื้นดิน ก่อนจะนำไปสู่ Conversion บนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับความสำเร็จของแบรนด์แฟชั่นไทยบน Shopee ที่ใช้การผสมผสานเครื่องมือต่างๆ ของแพลตฟอร์มอย่างครบวงจร เพื่อสร้าง Momentum ดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าไว้
Thumbsup มองว่า การเปิดตัว “โลแลน เนทูร่า แฮร์ ไวตามิน บูสเตอร์ ทรีตเมนต์” เป็นมากกว่าแค่การขยายไลน์สินค้า แต่คือการเดิมพันครั้งสำคัญของแบรนด์ระดับตำนานที่ตัดสินใจก้าวออกจาก Comfort Zone เพื่อท้าชิงส่วนแบ่งในตลาด Gen Z ที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความจำเป็นทางธุรกิจที่ต้องหาแหล่งรายได้ใหม่ และถูกขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ผ่านการคิดและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มาอย่างดี
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของโลแลนไม่ใช่แค่การสร้างการรับรู้ในระยะสั้น แต่คือการจะทำอย่างไรให้แบรนด์เข้าไปนั่งในใจของ Gen Z ได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน พวกเขาต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความเก๋า” ของแบรนด์ที่สั่งสมมานานกว่า 44 ปี สามารถแปรเปลี่ยนเป็น “ความเข้าใจ” ในความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการตลาดแบบฉาบฉวย
เกมนี้วัดกันยาวๆ ครับ การเปิดตัวถือเป็นการออกสตาร์ทที่น่าจับตา แต่การรักษาความสัมพันธ์ การสร้าง Community และการสื่อสารที่ ‘จริงใจ’ และ ‘สม่ำเสมอ’ ในระยะยาวต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าการเดิมพันครั้งนี้ของโลแลนจะประสบความสำเร็จและสามารถส่งต่อตำนาน “แบรนด์คู่ผมสวยของผู้หญิงไทย” ไปสู่เจเนอเรชันต่อไปได้หรือไม่ นี่คือ Case Study ชั้นดีที่นักการตลาดทุกคนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด



