Male Restroom

ใครที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะคุ้นเคยกับความ ล้ำ ของห้องน้ำที่นั่น ตั้งแต่ฝารองนั่งอุ่นๆ ระบบฉีดชำระอัตโนมัติ ไปจนถึงความสะอาดระดับเนี้ยบกริบที่หาตัวจับยาก แต่ในความสมบูรณ์แบบนั้น มี Culture Shock หนึ่งที่นักท่องเที่ยวและแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังต้องเลิกคิ้ว นั่นคือจังหวะที่คุณผู้ชายกำลังยืนทำธุระที่โถปัสสาวะอย่างสบายใจ จู่ ๆ ก็มี คุณป้าแม่บ้าน เดินเข้ามาเช็ดถูอ่างล้างมือข้าง ๆ แบบไม่เคอะเขิน

ฉากทัศน์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในญี่ปุ่น แต่มันเริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อ Atsushi Tamura พิธีกรและคนดังของญี่ปุ่นได้ทวีตข้อความสั้น ๆ ที่เหมือนโยนหินถามทางลงไปในบ่อความเงียบว่า “ผมอาจจะเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกแบบนี้ แต่ผมไม่ชอบเลยเวลาที่มีแม่บ้านผู้หญิงเข้ามาทำความสะอาดในห้องน้ำชาย”

เขาขยายความต่อว่า แม้จะซาบซึ้งและขอบคุณในการทำงานหนักของเหล่าแม่บ้าน แต่สถานการณ์แบบนั้นมันทำให้เขารู้สึก ไม่ปลอดภัยทางความรู้สึก อย่างบอกไม่ถูก

ทวีตนี้กลายเป็นไวรัลที่จุดชนวนให้เกิดการสำรวจความคิดเห็นครั้งใหญ่ และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าตกใจจนนักการตลาดและคนทำธุรกิจบริการรับทำความสะอาดต้องหันมามอง

Male Restroom

เมื่อตัวเลขสะท้อนความจริงที่ถูกมองข้าม

เพื่อยืนยันว่านี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกส่วนตัวของดาราคนหนึ่ง ข้อมูลจาก Clean System บริษัทให้บริการทำความสะอาดชั้นนำ และ Japan Restroom Association ได้เผยผลสำรวจที่น่าสนใจจากกลุ่มตัวอย่างชายหญิง 756 คน

ผลสำรวจระบุว่า ผู้ชายญี่ปุ่นประมาณ 3 ใน 4 (หรือราว 73%) รู้สึกอึดอัดไม่มากก็น้อย เมื่อต้องเจอแม่บ้านผู้หญิงในห้องน้ำชาย

ลองมาดู Breakdown ของตัวเลขความรู้สึกผู้ชายกันชัด ๆ

  • 13.9%: ต่อต้านแนวคิดนี้อย่างชัดเจน (ไม่โอเคเลย)
  • 31.0%: ค่อนข้างต่อต้าน (รู้สึกไม่ดีปานกลาง)
  • 28.2%: ไม่ได้ต่อต้านรุนแรง แต่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
  • 27.0%: เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าในขณะที่ฝั่ง Operations หรือการจัดการอาคารมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติแต่ฝั่ง User หรือผู้ใช้งานจริงกลับมี Pain Point ที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ถึงกว่า 70% ซึ่งในโลกของธุรกิจ หากลูกค้า 70% รู้สึกไม่สบายใจในการใช้บริการ นั่นคือสัญญาณเตือนภัยที่รุนแรงมาก

ทำไม “แม่บ้านหญิง” ถึงครองสัมปทานห้องน้ำชาย?

คำถามต่อมาคือ ถ้าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบ แล้วทำไมเราถึงยังเห็นภาพนี้เป็นเรื่องปกติในญี่ปุ่น? คำตอบไม่ได้อยู่ที่รสนิยม แต่เป็นเรื่องของ โครงสร้างตลาดแรงงาน

ข้อมูลจาก Clean System ระบุว่า 70% ของพนักงานทำความสะอาดในญี่ปุ่นคือ “ผู้หญิง”

สาเหตุหลักมาจาก

  1. Labor Shortage: ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว แรงงานขาดแคลนหนัก
  2. Job Application: ผู้ชายญี่ปุ่นสมัครงานในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดน้อยมาก เมื่อเทียบกับผู้หญิง
  3. Cost Efficiency: ในอาคารขนาดเล็กหรือขนาดกลาง การจ้างพนักงานทำความสะอาดมักจ้างเพียง คนเดียว เพื่อดูแลทั้งตึก เมื่อสัดส่วนคนสมัครเป็นผู้หญิงมากกว่า โอกาสที่ห้องน้ำชายจะถูกดูแลโดยแม่บ้านผู้หญิงจึงสูงตามไปด้วยตามหลักความน่าจะเป็น

นี่คือสถานการณ์ที่ยากลำบากของฝั่งบริหารจัดการระหว่าง ความเหมาะสมในมุมมองลูกค้า กับ ข้อจำกัดด้านทรัพยากรบุคคล

Gender Double Standard

สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก คือการเปรียบเทียบในมุมกลับ ผลสำรวจเดียวกันได้ถามกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงว่า รู้สึกอย่างไรถ้ามีภารโรงผู้ชาย เข้ามาทำความสะอาดในห้องน้ำหญิง

ผลลัพธ์คือเสียงคัดค้านแบบถล่มทลาย:

  • 43.7%: ต่อต้านอย่างรุนแรง (รับไม่ได้)
  • 39.3%: ค่อนข้างต่อต้าน
  • รวมแล้วกว่า 83% ของผู้หญิงไม่โอเคกับสิ่งนี้ และมีเพียง 5.4% เท่านั้นที่บอกว่าไม่รู้สึกอะไร

ตัวเลขนี้สะท้อน Social Norm ที่ฝังรากลึกว่า พื้นที่ส่วนตัวของผู้หญิงเป็นเขตหวงห้ามที่เคร่งครัดกว่าของผู้ชาย (ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในบริบทของความปลอดภัย) แต่เมื่อ Tamura ออกมา Call Out เรื่องนี้ มันคือการเรียกร้องความเท่าเทียมในแง่ของ ความสบายใจ ว่าผู้ชายเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวในขณะปลดทุกข์เช่นกัน ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว

บทเรียนจากห้องน้ำสู่ธุรกิจ

จากดราม่าห้องน้ำญี่ปุ่น เราถอดบทเรียนอะไรมาปรับใช้ได้บ้างในมุมมองธุรกิจและการตลาด?

  1. Empathy ต้องมาคู่กับ Efficiency: หลายครั้งธุรกิจมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น จ้างคนเดียวคุ้มกว่า หาคนง่ายกว่า จนลืมมอง User Journey ว่าจุด Touchpoint ไหนที่สร้างความอึดอัดใจให้ลูกค้า กรณีนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ความคุ้นชินในการทำงาน อาจกำลังทำลาย ประสบการณ์ลูกค้า อยู่เงียบ ๆ
  2. Privacy is the New Luxury: ในยุคที่ข้อมูลและความเป็นส่วนตัวมีค่าดั่งทองคำ การให้ความสำคัญกับ Privacy ในพื้นที่กายภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน การออกแบบบริการยุคใหม่ต้องคำนึงถึง ความปลอดภัยทางใจ ของผู้ใช้งานด้วย ไม่ใช่แค่ความสะอาดของสถานที่
  3. การแก้ปัญหาด้วย Technology: หากปัญหานี้แก้ด้วยแรงงานคนไม่ได้ (เพราะผู้ชายไม่มาสมัครงาน) นี่คือช่องว่างทางการตลาดสำหรับ Robotics และ Automation ญี่ปุ่นเองเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม การนำหุ่นยนต์ทำความสะอาดเข้ามาใช้ในห้องน้ำสาธารณะในช่วงเวลาทำการ อาจเป็นทางออกที่ Win-Win ทั้งเรื่องการขาดแคลนแรงงานและการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ
  4. Feedback Loop สำคัญเสมอ: ถ้า Tamura ไม่ทวีตเรื่องนี้ เราอาจจะคิดว่าผู้ชายญี่ปุ่น ชิน กับเรื่องนี้ไปแล้ว การมีช่องทางให้ลูกค้าได้ Voice out ความรู้สึกจริง ๆ โดยไม่ถูกตัดสินว่าเป็นเรื่องหยุมหยิม คือหัวใจของการพัฒนา Product และ Service

Thumbsup มองว่า เรื่องราวของห้องน้ำญี่ปุ่นสอนให้เรารู้ว่า ความเคยชิน ไม่ได้แปลว่าความพึงพอใจ แม้ตัวเลขแม่บ้านหญิงในห้องน้ำชายจะยังคงสูงต่อไปในระยะใกล้ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์และแรงงาน แต่เสียงสะท้อนจากผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

ในฐานะนักการตลาดและคนทำธุรกิจ เราต้องหมั่นตั้งคำถามกับ มาตรฐานเดิม ๆ ขององค์กรดูบ้างว่า สิ่งที่เราทำอยู่เพราะมัน สะดวกเรา นั้น แท้จริงแล้วมัน สะดวกใจลูกค้า หรือไม่ การปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเคารพพื้นที่ส่วนตัวของลูกค้า อาจเป็นกุญแจสำคัญที่สร้าง Brand Love ได้มากกว่าแคมเปญโฆษณาราคาแพงเสียอีก

โลกเปลี่ยน บริบทสังคมเปลี่ยน ถ้าธุรกิจยังยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ โดยไม่ฟังเสียงของ User ระวังจะกลายเป็นเหมือนห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมอ่อง… แต่ไม่มีใครอยากเข้า เพราะรู้สึกไม่สบายใจ

อ้างอิง: Soranews24

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: