Site icon Thumbsup

หลุมพรางของการทุ่มเทให้กับ “งานที่รัก”

ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ หลายๆ คนคงใช้โอกาสนี้ทบทวนตัวเองและตั้งเป้าหมายในปี 2558 วันนี้ไปเจอบทความน่าสนใจจาก Inc เลยเอามาสรุปให้อ่านกันค่ะ อยากให้อ่านก่อนที่จะเริ่มทำงานในปีนี้ 

“จงทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ”

“จงทำในสิ่งที่รัก และเงินจะตามมาเอง”

“เลือกทำงานที่คุณรัก และคุณจะไม่รู้สึกว่าต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต”

เราทุกคนน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ฟังดูเท่แบบนี้กันมาบ้าง มันฟังดูดี ชวนฝัน แต่บทความนี้กำลังจะชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากการ “ทำในสิ่งที่รัก” โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ

การทำในสิ่งที่รักนั้นเป็นเรื่องดีนะคะ มันทำให้เราทุ่มเทได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปรียบเทียบไปแล้วก็เหมือนกับการเลี้ยงเด็กสักคนที่เรามอบแต่สิ่งดีๆ ให้ เพราะอยากให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี

อันตรายของมันอยู่ตรงความทุ่มเทนี่แหละ เมื่อมันเป็นสิ่งที่เรารัก เราจึงพร้อมจะทุ่มเท สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นว่า “งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน” หายใจเข้า – ออก เป็นเรื่องงาน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราปลุกปั้นมาเองกับมือ

อาการของคนที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องงานจะเป็นแบบนี้ พออยู่ห่างจากอะไรที่เป็นงานแค่ไม่นาน ก็จะกระสับกระส่าย และจะเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำงานทันทีเมื่อมีโอกาส แม้จะเป็นวันหยุดที่ควรใช้เวลากับครอบครัว

นั่นแปลว่าสมดุลชีวิตของเราจะเสียไป

ขอยืมคำพูดของ Mark Cuban มาใช้ เขาบอกว่า “ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และถ้าใครชอบงานที่ตัวเองทำ เขาจะหาทางที่จะใช้เวลากับงานให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้”

สำหรับคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียว ไม่มีเรื่องอื่นๆ ให้สนใจมากนัก อาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนหนึ่งคนน่าจะมีชีวิตหลากหลายมิติ ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือชีวิตส่วนตัวในแง่มุมอื่นๆ ที่ควรให้ความใส่ใจ

การพุ่งความสนใจไปที่งานแบบ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ จะทำให้เรื่องอื่นๆ (ที่ควรจะสนใจ) กลายเป็นเรื่องรอง ซึ่งแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นชีวิตในฝันของเราหรือคนรอบข้าง

ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนเรามีทางเลือกเสมอ

สิ่งที่เราเลือกทำ ไม่ได้มีผลกับตัวเราเองเฉพาะในวันนี้เท่านั้น แต่มันยังส่งผลกับตัวเราและคนรอบข้างในอนาคตอีกด้วย

ที่ปรึกษาทางธุรกิจบางคนอาจจะแนะนำว่า เราต้องทุ่มเทกับธุรกิจของเราแบบสุดตัว หายใจเข้าออกเป็นมัน ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นปลาเล็กให้คู่แข่งไล่งับ

แต่มันไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นจริงเสมอไป จริงอยู่ที่การมีธุรกิจเป็นของตัวเองและการทำให้มันเติบโตได้อย่างมั่นคง ต้องอาศัยการทำงานหนัก แต่ก็ยังมีบางคนที่สามารถจะดูแลธุรกิจไปพร้อมๆ กับดูแลชีวิตส่วนตัวได้โดยไม่เสียสมดุล

ถ้าอยากจะสร้าง Apple หมายเลข 2 หรือ Uber หมายเลข 2 เราอาจจะต้องทำงานหนัก และตัดเรื่องอื่นๆ ออกไป แต่ในกรณีที่ไม่ได้อยากยิ่งใหญ่แบบนั้น ก็เลือกอีกทางได้

เราเลือกได้ที่จะทำในสิ่งที่รัก และในขณะเดียวกันก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ ในชีวิตที่คุณรักมากกว่างาน สำหรับคนบ้างาน มันอาจจะยากสักเล็กน้อยที่ต้องหาจุดบาลานซ์ โดยเฉพาะในช่วงแรก

สิ่งที่จะเป็นประโยชน์มากในการหาจุดสมดุลระหว่างชีวิตและงาน คือการจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งจะทำได้โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น “ใครหรืออะไรที่สำคัญกับฉันมากที่สุด” แต่ก็อย่าลืมตั้งคำถามประเภท “เมื่อไร” “ที่ไหน” และ “อย่างไร” เพราะมันสำคัญพอๆ กัน และคำถามที่ตอบยากที่สุด ก็คงจะเป็น “เพราะอะไร”

ไม่ต้องกังวลค่ะ เราอาจจะยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ ขอให้ใช้เวลาที่ยังคิดไม่ออกนี้ไปทำอย่างอื่น เล่นกับแมว พาพ่อแม่ไปทานข้าว อ่านเรื่องสั้นเบาสมองซะบ้าง เดี๋ยวก็คิดออกเอง ^^

ขอให้เป็นปีที่ผู้อ่านทุกคนมีความสุข และทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย

สวัสดีปีใหม่ค่ะ