Site icon Thumbsup

YDM ซื้อ FCB เสริมทัพครบสิบบริษัท หวังปั้นเอเจนซี่ออนไลน์สู่โลกออฟไลน์แบบครบวงจร

กลายเป็นเรื่องจำเป็นเสียแล้ว สำหรับธุรกิจเอเจนซี่ ที่ฝั่งออนไลน์และออฟไลน์ต้องการที่จะดึงจุดแข็งของกันและกันมาเสริมให้ธุรกิจอยู่รอด ด้วยความที่เทรนด์ดิจิทัลมาแรง และพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปเสพสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้รายได้ของฝั่งเอเจนซี่ออฟไลน์แบบเดิมอาจลดลง และต้องหาฐานออนไลน์ที่แข็งแรงมาช่วยเสริมขาธุรกิจให้แข็งแรงขึ้น

เรื่องของวงการเอเจนซี่ ในรอบปีที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่า โลกออนไลน์เข้ามาเขย่าการทำงานเอเจนซี่แบบเดิมให้เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น การร่วมมือกันเพื่อสร้างโอกาสเติบโตในธุรกิจย่อมดีกว่าเริ่มต้นเองแน่นอน ด้วยตัวเลขของเม็ดเงินโฆษณาในปี 2561 ที่ผ่านมานั้น คาดว่ามีมูลค่ากว่า 8.9 หมื่นล้านบาท และในจำนวนนี้แบ่งเป็นงบโฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลถึง 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปี 2560 กว่า 20%

ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ CEO บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) ในเครือ Yello Digital Maketing (YDM) ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า ตอนนี้ธุรกิจในเครือมี 9 บริษัทแล้ว ส่วนใหญ่จะดำเนินงานด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งทั้งสิ้น การเข้าไปถือหุ้นใน FCB Bangkok แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทจะความแข็งแกร่งในด้านการเป็นบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ที่รองรับงานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้แบบครบวงจรมากขึ้น

ผสมผสานการทำงาน โอกาสเติบโตสูง

การเข้าซื้อกิจการของ FCB Bangkok นั้น เพราะมองว่าการเป็นแค่พาร์ทเนอร์ในการทำงานร่วมกันไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบครบวงจร อีกทั้งการจ้างงานแบบสองบริษัทจะกลายเป็นต้นทุนของลูกค้า ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเดินหน้าแคมเปญได้อย่างเต็มที่

 

“ปัญหาของการดีลงานออนไลน์และออฟไลน์นั้น คือต่างฝ่ายต่างจะมีมุมของการทำงานที่ไม่ได้เข้ากันได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของแบรนด์หรือธุรกิจที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสองต่อ รวมทั้งการสร้างแคมเปญใดๆ ก็จะสำเร็จช้ากว่าเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น หากเอเจนซี่เองสามารถรองรับความต้องการได้ทั้งสองรูปแบบ น่าจะช่วยให้ทำงานได้ดีกว่า”

 

ทั้งนี้ การเข้าถือหุ้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้เป็นเม็ดเงินที่มหาศาลจนเขย่าวงการ แต่เป็นราคาที่บริษัทแม่รับได้ และคาดว่าต่อจากนี้ คงจะหยุดตั้งบริษัทใหม่ เพราะ YDM Thailand ต้องการจะเร่งเดินหน้าธุรกิจให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ (SET) ภายใน 3 ปีให้ได้

 

“ด้านรายได้ของบริษัทปีที่ผ่านมา ทำได้ 550 ล้านบาท ปีนี้ก็ตั้งเป้า 60% ทั้งจากลูกค้าใหม่ แพลตฟอร์มที่บริษัทพัฒนาขึ้นและเจาะตลาดหลายธุรกิจมากขึ้น รวมถึงการเข้ามาเสริมด้านออฟไลน์ของ FCB Bangkok คาดว่าจะทำเม็ดเงินได้ราว 800 ล้านบาท”

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทจะทำเสริมในปีนี้คือเรื่องของเทรนนิ่ง โดยอาจจะเปิดเป็นหลักสูตรด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อมเข้ามาเรียนรู้และนำเทคนิคไปใช้งาน คาดว่าหลังจากที่ออฟฟิศใหม่ตกแต่งเสร็จจะมีพื้นที่ในการรองรับบริการนี้มากขึ้น ซึ่งเราก็กำลังเปิดรับคนใหม่ๆ เข้ามาเสริมด้วย

 

“การเมือง” โอกาสที่น่าสนใจแต่ไม่ค่อยมีคนทำ

ทางด้านของอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาใช้งานดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น ยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่มีการ Spending สูง เช่น รถยนต์ ธนาคาร ประกันชีวิตและสมาร์ทโฟน ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจง จึงเป็นเม็ดเงินที่สูงกว่าธุรกิจอุปโภคบริโภคที่ใช้เม็ดเงินหว่านในทุกโซเชียล

ส่วนกระแสการเมืองนั้น อย่างที่ทราบว่าหลายเอเจนซี่จะไม่เปิดตัวว่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองใด เพราะอาจกระทบในแง่ของธุรกิจโดยรวม ทั้งที่การเมืองเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าจะมีการใช้จ่ายในช่องทางโซเชียลมีเดียสูง ทำให้ส่วนใหญ่ยังเน้นหนักไปในด้านการทำสื่อออฟไลน์อย่างบิลบอร์ด หนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น

ในต่างประเทศ นักการเมืองจะใช้เรื่องของบิ๊กดาต้ามาวิเคราะห์และสร้างสรรค์เป็นนโยบายเพื่อหาเสียงสู้กับคู่แข่ง แต่ในประเทศไทยไม่ได้มีแนวทางว่าจะนำข้อมูลไปใช้ในทิศทางใดถึงจะเหมาะสม ทำให้ภาพของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งกับการเมืองไทยยังไม่ค่อยชัดเจนนัก

ต้องยอมรับว่านักการเมืองของไทยยังคงเป็นคนรุ่นเก่า ที่ไม่ได้รู้จักกระบวนการด้านดิจิทัลมากนัก นอกจากการใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียง แนะนำตนเองให้เป็นที่รู้จัก หรือนโยบายต่างๆ แต่ความเป็นจริงยังมีเครื่องมือเชิงลึกที่ใช้ในการทำงานได้อีกมากไม่ต่างกับธุรกิจ อยู่ที่ว่าจะมีมุมมองและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากแค่ไหน

ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการเมืองเท่านั้น ในวงการธุรกิจก็เช่นกัน หากทีมบริหารเข้าใจภาพของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเป็นเพียงแค่โซเชียลมีเดียก็จะเสียโอกาสอีกมหาศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยยังไม่ได้เก่งถึงขั้นพัฒนาโซเชียลมีเดียขึ้นมาเองจนติดตลาดได้เหมือนอเมริกาหรือจีน ทำให้ภาพของการนำไปใช้งานคือ เกาะเครื่องมือการตลาดอย่างไรให้เกิดผลสำเร็จที่สุด

เอเจนซี่ออฟไลน์โอกาสยังมีอยู่

ทางด้านของ นางสาวทุติยา ดิสภานุรัตน์ Managing Director – FCB BANGKOK กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ FCB BANGKOK คือ การมุ่งไปสู่การสร้าง Business Solution ได้แบบ Free Form เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละธุรกิจที่มีความต้องการแตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลให้ไอเดียในการแก้ปัญหาของลูกค้ามาได้จากทุกทาง ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกเป็นออนไลน์ หรือออฟไลน์อีกต่อไป

ดังนั้น การได้เข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ YDM Thailand ครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่ง และทำให้บริการของเราครบวงจรมากขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการบริหารแคมเปญการตลาด

เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า ลูกค้าส่วนหนึ่งมีการแยกใช้เอเจนซีโดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นการผนึกกำลังในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้าน เพราะเป็นการรวมตัวของเอเจนซีที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านงานครีเอทีฟ และการตลาดดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

“รายได้ของ FCB Bangkok ในปีที่ผ่านมาปิดที่ 100 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มอีก 15% ในกลุ่มของลูกค้าเดิมที่ต้องการเข้าสู่โลกดิจิทัล ซึ่งบริษัทมีการพูดคุยกับทางโอสถสภาไว้บ้าง รวมทั้งมีแผนจะคุยกับอีกหลายบริษัทที่เคยเป็นลูกค้าออฟไลน์กันมาก่อน”

ทั้งนี้ FCB BANGKOK มีความเชี่ยวชาญในด้านการทำ Branding การวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร การบริหารแคมเปญโฆษณา และการออกแบบแคมเปญการตลาด

เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทีมงานที่มีศักยภาพ มีองค์ความรู้ที่แข็งแกร่ง เชื่อว่าการเข้าร่วมกรุ๊ปกับ YDM Thailand ในครั้งนี้จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แนวโน้มของธุรกิจโฆษณาในปี 2562  จะเริ่มเห็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมทัพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ในการซื้อสื่อโฆษณา หรือการใช้แชทบ็อททำหน้าที่ให้บริการลูกค้า ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเอเจนซี สามารถให้บริการและใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง