หากย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน ภาพจำของโลกเทคโนโลยีช่างดูเรียบง่ายและชัดเจนเหลือเกิน เพราะ OpenAI คือราชาผู้ไร้พ่าย การเปิดตัว ChatGPT เปรียบเสมือนการปักธงชัยที่ทำให้คู่แข่งทุกรายดูห่างชั้น แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน สถานการณ์กลับพลิกผันราวกับหนังคนละม้วน
ในฐานะคนทำงานสายการตลาดและเทคโนโลยี เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อ “ความได้เปรียบในฐานะผู้มาก่อน” ของ OpenAI กำลังถูกทดสอบอย่างหนักหน่วงที่สุด ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าบัลลังก์ของ Sam Altman กำลังสั่นคลอนจากการรุกคืบของยักษ์ใหญ่อย่าง Google และม้ามืดที่มาแรงอย่าง Anthropic
วันนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังสมรภูมินี้ ว่าทำไมเกมนี้ถึงเปลี่ยนไป และมันส่งผลอย่างไรต่อทิศทางธุรกิจในอนาคต

การตื่นขึ้นของยักษ์หลับ! Google Gemini 3 และกลยุทธ์ Full Stack
จำช่วงที่ Google ดูเหมือนจะสะดุดขาตัวเองตอนเปิดตัว AI แรก ๆ ได้ไหม? ลืมภาพนั้นไปได้เลย เพราะการกลับมาครั้งนี้ของ Google นั้นเอาจริง
การเปิดตัว Gemini 3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักวิเคราะห์และคนในวงการต้องหันมามองใหม่ ข้อมูลระบุว่าโมเดลตัวล่าสุดนี้ได้ทำการ “Leapfrog” หรือกระโดดข้ามขีดความสามารถของ GPT-5 (โมเดลของ OpenAI) ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะในแง่ของกระบวนการเทรนโมเดลที่ Google ทำได้เหนือกว่าสิ่งที่ OpenAI พยายามทำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ถามว่าทำไม Google ถึงกลับมาผงาดได้ขนาดนี้?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “โครงสร้างพื้นฐาน” หรือ Infrastructure ที่ Google วางหมากไว้มานาน Koray Kavukcuoglu CTO ของ DeepMind และ AI Architect ของ Google ให้มุมมองที่น่าสนใจกับ Financial Times ว่า กุญแจสำคัญคือ “Full Stack Integrated Approach”
ในขณะที่ OpenAI และบริษัท AI ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาชิปราคาแพงระยับจาก Nvidia แต่ Google มีอาวุธลับคือชิป TPU (Tensor Processing Units) ที่ออกแบบและผลิตเอง นี่คือความได้เปรียบทางต้นทุนและประสิทธิภาพที่ยากจะเลียนแบบ การที่ Google สามารถเทรน Gemini 3 ได้โดยไม่ต้องง้อชิป Nvidia ทำให้พวกเขาสามารถควบคุม Roadmap ของตัวเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ
Michael Nathanson นักวิเคราะห์จาก MoffettNathanson เสริมว่า Google “มีกล้ามเนื้อที่พร้อมจะเบ่ง” อยู่แล้ว เพียงแค่ต้องหาท่ายืนที่มั่นคงให้เจอ และงาน Google I/O ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเจอจุดยืนนั้นแล้ว
เมื่อ Loyalty เริ่มเปลี่ยนทิศ
ในโลกการตลาด เรารู้ดีว่า Product is King แต่ถ้า Product ของคู่แข่งดีกว่า Loyalty ของลูกค้าก็พร้อมจะสั่นคลอน
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดมาจาก Marc Benioff CEO ของ Salesforce ที่โพสต์ผ่าน X ด้วยข้อความที่สั่นสะเทือนวงการว่า
“บ้าไปแล้ว ผมใช้ ChatGPT ทุกวันมา 3 ปี แต่พอได้ลอง Gemini 3 แค่ 2 ชั่วโมง ผมไม่กลับไปใช้ตัวเดิมอีกเลย การก้าวกระโดดครั้งนี้มันบ้ามาก… รู้สึกเหมือนโลกเปลี่ยนไปอีกครั้ง”
นี่ไม่ใช่แค่ความเห็นลอย ๆ แต่สถิติจาก Similarweb เริ่มชี้ให้เห็นเทรนด์ใหม่ แม้ OpenAI จะยังครองส่วนแบ่งการตลาด Chatbot โดยรวม (ด้วยยอดผู้ใช้กว่า 800 ล้านรายต่อสัปดาห์) แต่ตัวเลข “เวลาที่ใช้งาน” (Time Spent) บน Gemini เริ่มแซงหน้า ChatGPT แล้ว และยอดผู้ใช้งานแอป Gemini ก็พุ่งจาก 400 ล้าน เป็น 650 ล้านรายในเวลาสั้น ๆ
OpenAI ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ
ในขณะที่ Google กำลังติดปีก OpenAI กลับต้องเผชิญกับ “Vibes ที่ไม่สู้ดีนัก” ตามบันทึกข้อความภายในของ Sam Altman ที่หลุดออกมา
ปัญหาของ OpenAI ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องของวิสัยทัศน์ แต่เป็นเรื่องของ “การบริหารจัดการทรัพยากรและความโฟกัส”
- ต้นทุนที่พุ่งสูง: OpenAI มีแผนการลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 8 ปีข้างหน้าเพื่อสร้าง Computing Power ซึ่งต้องพึ่งพาพาร์ทเนอร์อย่าง Nvidia, Oracle และอื่น ๆ ซึ่งต่างจาก Google ที่ทำเองได้
- การกระจายตัวที่มากเกินไป (Spread too thin): นักลงทุนใน Silicon Valley เริ่มมองว่า OpenAI กำลังทำหลายอย่างพร้อมกันเกินไป ตั้งแต่เครื่องมือเขียนโค้ด ไปจนถึง Sora (AI สร้างวิดีโอ) ทำให้ขาดความจริงจังในผลิตภัณฑ์หลัก
- กับดักรายได้: โจทย์ใหญ่ที่สุดคือจะหาเงินจากไหนมาโปะต้นทุนมหาศาล? แผนการดึงโฆษณาเข้ามาในระบบก็ไม่ง่าย เพราะต้องไปแข่งในน่านน้ำที่ Google และ Meta ครองตลาดอยู่อย่างเหนียวแน่น
Sarah Myers West จาก AI Now Institute ให้ความเห็นว่า การเดิมพันด้วยการก่อหนี้มหาศาลของพาร์ทเนอร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ OpenAI นั้นเป็น “ความเสี่ยงที่น่าสะพรึงกลัว”
Anthropic ในฐานะตาอยู่ผู้มาเงียบ แต่กินเรียบฝั่งองค์กร
ในขณะที่ช้างสารชนกัน (Google vs OpenAI) แบรนด์อย่าง Anthropic (ที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน OpenAI) กลับเลือกเดินเกมที่แตกต่าง
Anthropic ไม่ได้เน้นความหวือหวาแบบ Mass Market เหมือน ChatGPT แต่เน้นไปที่ “ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ” (AI Safety & Reliability) ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าฝั่งองค์กร ต้องการมากที่สุด โมเดล Claude ของพวกเขากำลังได้รับความนิยมสูงมากในหมู่นักเขียนโค้ดและบริษัทที่ต้องการความแม่นยำสูง จนตอนนี้บริษัทกำลังระดมทุนรอบใหม่ที่จะดันมูลค่าบริษัทไปแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์
สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนว่า “ยุคที่ OpenAI ผูกขาด” ได้จบลงแล้ว เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค Multi-Polar AI หรือขั้วอำนาจหลายฝ่าย
Mark Chen หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ OpenAI อาจจะกล่าวต้อนรับการแข่งขันว่าเป็นเรื่องดีที่ช่วยผลักดัน Ecosystem แต่ในความเป็นจริง แรงกดดันตกอยู่ที่คนทำงานภายในที่ต้องวิ่งให้เร็วกว่าเดิมบนลู่วิ่งที่ชันขึ้นเรื่อย ๆ
Thumbsup มองว่า บทเรียนจากเคสนี้สอนให้เรารู้ว่า “Disruptor ก็ถูก Disrupt ได้เสมอ”
OpenAI เคยเป็นผู้ปฏิวัติวงการ แต่เมื่อ Google ตั้งหลักได้และใช้จุดแข็งเรื่อง Ecosystem (Cloud, Android, Chips) เข้าสู้ เกมก็เปลี่ยนทันที สำหรับแบรนด์และนักการตลาดอย่างเรา นี่คือช่วงเวลา Golden Age ที่จะได้เลือกใช้เครื่องมือที่ดีที่สุด การผูกติดกับ Platform ใด Platform หนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปคือ OpenAI จะแก้เกมเรื่อง Business Model อย่างไร จะหนีจากกับดักต้นทุนด้วยการทำ Media Business (โฆษณา) หรือจะหา S-Curve ใหม่เจอ เพราะในโลกเทคโนโลยี การเป็นที่ 1 ในวันนี้ ไม่ได้การันตีว่าจะรอดในวันพรุ่งนี้
อ่านเพิ่มเติม


