Site icon Thumbsup

วิธีเพิ่มและรักษาจำนวน Reach บน Facebook สิ่งที่นักการตลาดควรรู้

ระยะหลังรู้สึกว่ายอดการเข้าถึง และการพูดถึงของ Facebook fan page ตกลงบ้างหรือเปล่าคะ? อยากให้แฟนๆ ของคุณได้เข้าถึงโพสต์ต่างๆ ของคุณมากขึ้นหรือเปล่า ถ้าต้องการ อย่างแรกที่ต้องทำคือทำความเข้าใจ “Facebook Reach” ก่อนเป็นอย่างแรกค่ะ

Facebook Reach คืออะไร?

Facebook เป็นหนึ่งในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่พยายามสร้างลูกเล่นเพื่อการใช้งานใหม่ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน แต่เมื่อมาถึงเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย หลายๆ ครั้ง Facebook กลับไม่สามารถสนองความต้องการของนักการตลาดได้อย่างที่คิด

Facebook Reach คือ จำนวนผู้ใช้งานที่จะเห็นคอนเทนต์ต่างๆ จากเพจของคุณ โดยค่าตัวเลขนี้จะส่งผลต่อยอด Engagement, การกด Like, การ Comment, จำนวนคลิก และ ยอดการตอบรับในเชิงลบ (Negative Feedback) โดย Facebook Reach นั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Post, Page, Organic, Viral และ Paid ซึ่งค่าทั้งหมดนี้รวมกันแล้วคือยอด Reach

สำหรับประเภท Reach ที่สร้างความสับสนได้ไม่น้อย ได้แก่ Post Reach และ Page Reach คำว่า Post Reach นั้นแปลว่าจำนวนผู้ใช้ Facebook ที่เห็นโพสต์นั้นๆ บน News Feed ของพวกเขา ส่วน Page Reach คือ จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ที่เห็นโพสต์จากเพจของคุณอันไหนก็ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด อย่างเช่นในระหว่างวัน, เดือน หรือจะเป็นปีก็ได้

ในกรณีที่คุณไม่ได้โพสต์เนื้อหาบ่อยๆ ยอด Page Reach ของคุณอาจต่ำ แต่ยอด Post Reach ของคุณอาจสูงก็ได้ แต่ถ้าคุณโพสต์โพสต์บ่อยๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่า Page Reach ของคุณอาจสูง ในขณะที่ยอด Post Reach ของคุณอาจต่ำก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าคุณต้องการให้โพสต์นั้นของคุณเข้าถึงแฟนๆ ได้มากกว่า หรือคุณต้องการให้เพจของคุณผ่านสายตาพวกเขาบ่อยๆ ซึ่งโดยลักษณะการใช้งานนี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณต้องสร้าง Post Reach หรือ Page Reach อย่างไหนมากกว่ากัน

นอกจากนี้ในส่วนของ Post Reach และ Page Reach ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปอีก 3 ลักษณะอันได้แก่ organic, viral and paid reach

Organic Reach คือ จำนวนแฟนๆ ที่มองเห็นอัพเดทเนื้อหาของคุณบน News Feed ของพวกเขา หรืออาจมีผู้ใช้บางคนที่ยังที่ใช่แฟนเพจของคุณเข้าไปที่เพจของคุณก็เป็นได้

Viral Reach คือ การที่ผู้ใช้ Facebook เห็นโพสต์ของคุณเพราะผู้ใช้คนอื่นกดไลค์ แชร์หรือเขียนข้อความ Comment บนโพสนั้นๆ ของคุณ เพื่อนของผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของคุณจะเห็นโพสต์นั้นเช่นกัน แม้พวกเขาจะไม่ใช่แฟนเพจของคุณก็ตาม ขณะเดียวกันหากคุณจ่ายเงินเพื่อให้โพสต์ของคุณเข้าถึงผู้ใช้ Facebook ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น แล้วถ้าผู้ใช้ Facebook ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้นกดไลค์ แชร์ หรือมีปฏิสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อนของผู้ใช้ Facebook นั้นก็จะเห็นโพสต์ดังกล่าวที่คุณโปรโมทเช่นกัน ทั้งสองอย่างนี้คือ Viral Reach

ถ้าหากคุณต้องการ export ยอด Viral Reach ในรูปแบบไฟล์ Excel คุณต้องเลือก export ด้วย Facebook Insight แบบเก่า ตัวเลข Viral Reach จะยังปรากฏแยกกับ Organic Reach ซึ่งต่างจาก Facebook Insight เวอร์ชันใหม่ที่ Facebook เปิดตัวเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อดูแล้วจะพบว่า Facebook ได้รวมยอด Viral Reach ไว้กับส่วน Oraganic Reach เลย

Paid Reach คือ ยอดผู้ใช้ Facebook ที่มองเห็นโพสต์ของคุณจากการที่คุณจ่ายเงิน Facebook เพื่อให้โพสต์นั้นๆ เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น ในกรณีที่คุณโปรโมทโพสต์ของคุณ ยอดผู้งานที่เห็นโพสต์ของคุณแบบ Paid Reach จะสูงกว่า Oraganic Reach มาก อย่างภาพด้านล่างสีส้มเข้มแทน Post Reach ที่มากกว่า Organic Reach

วิธีวัดจำนวน Facebook Reach ที่ดีที่สุดคือ?

จากเดิมที่นักการตลาดใช้วิธีเทียบจำนวน Post Reach กับจำนวนผู้กดไลค์เพจของพวกเขาวิธีนี้ไม่ใช่การวัดผลที่เห็นภาพจริงเท่าใดนัก ปัจจุบัน Facebook Insight สามารถแจ้งจำนวนแฟนๆ ที่ออนไลน์ในช่วงเวลาหนึ่งได้ ฉะนั้นการทำยอด Post Reach มาเทียบกับจำนวนแฟนๆ ของเพจที่ออนไลน์ในช่วงนั้นน่าจะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้มากกว่า

ตัวอย่างเช่น จากกราฟด้านล่างที่แสดงให้เห็นว่าแฟนๆ ของเพจนั้นออนไลน์กันส่วนมากในช่วง 15:00 น. โดยแฟนๆ ของเพจประมาณ 3,500 จาก 9,500 จะออนไลน์ในช่วงเวลาดังกล่าว หากนักการตลาดโพสต์เนื้อหาในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วมียอด Post Reach อยู่ที่ 600 ครั้ง การเทียบประสิทธิภาพในการเข้าถึงของเนื้อหาไม่ควรเป็น 600 จาก 9,500 แต่ควรจะเป็น 600 จาก 3,500 ต่างหากจึงจะเป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพในช่วงเวลานั้นได้มากที่สุด

การสร้างยอด Reach สูงๆ นั้นเป็นเรื่องยากมากหรือไม่?

ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2013 ที่ผ่านมาผู้ใช้งาน Facebook fan page หลายๆ คนเริ่มรายงานเรื่องจำนวนยอด Oraganic Reach ของพวกเขาที่ตกลงเป็นอย่างมาก โดยแต่ละเพจนั้นก็ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไปบ้างก็ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก บ้างก็น้อย บ้างก็ไม่ต่างจากเดิมแต่อย่างใด

โดยในตอนนั้นทาง AdAge ได้รายงานว่า Facebook นั้นได้เผยเป็นนัยๆ ให้ผู้ใช้งาน Facebook Fan Page เตรียมจ่ายเงินเพื่อให้เพจของพวกเขาเข้าถึงแฟนๆ ได้เลย เพราะการแข่งขันบนโซเชียลมีเดีย และบล็อกนั้นเข้มข้นมากแล้ว ช่วงเดือนธันวาคมปีก่อนเป็นช่วงที่มีกระแสข่าวของ Facebook อย่างหลากหลาย บ้างก็ว่า Facebook ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อหลอกเอาเงินนักการตลาดเพิ่ม บ้างก็ออกมาปกป้องว่า Facebook นั้นเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เนื้อหาบน News Feed นั้นมีคุณภาพมากขึ้น

จากการสังเกตการณ์แฟนเพจทั้ง 6,000 เพจที่แตกต่างกันทั้งขนาด และประเภทธุรกิจบน Facebook โดย Emeric Ernoult นักเขียนจาก Social Media Examiner เขาพบว่ายอด Reach นั้นตกลงอย่างต่อเนื่องมา 6 เดือนแล้ว จำนวน Reach ที่ลดลงในเดือนธันวาคม 2013 ที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเดือนก่อนเท่าใดนัก

เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่าเพจที่มียอดปฏิสัมพันธ์กับโพสต์เยอะจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนเพจที่มี Negative Feedback  (ผู้ใช้งานกด Report Spam หรือ ซ่อนโพสต์) นั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน และเพจที่มียอดปฏิสัมพันธ์ต่ำนั้นได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยยอด Organic Reach ต่อเดือนนั้นตกลงจาก 73% เป็น 55% จากฐานกลุ่มแฟนเพจ (กราฟสีส้ม) แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ายอด Organic Reach นั้นตกลงอย่างมากจนน่าตกใจในช่วงเดือนธันวาคมอีกทั้งการมียอด Oganic Reach ที่ลดลงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกเพจ โดยเพจประเภทไม่แสวงหาผลกำไรนั้นไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากเพจประเภทดังกล่าวนั้นมักจะมียอดปฏิสัมพันธ์สูง และมี Negative Feedback ต่ำ

ไปใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กตัวอื่นดีกว่ามั้ย?

หลังเกิดกระแสต่อต้าน Facebook ในช่วงเดือนธันวาคมปลายปีก่อน (2013) ทำให้หลายๆ คนมองว่า Facebook นั้นหลอกลวง และมองหาโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ มาใช้งานแทน โดยพวกเขาส่วนมากได้นัดแนะกันว่าจะหันไปใช้ Google+ แต่การคิดอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผิดมาก เนื่องจากโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ นั้นไม่มีทางที่จะให้ข้อมูลสถิติต่างๆ ได้ละเอียดเท่าที่ Facebook ให้ได้ในขณะนี้ การเลิกใช้งาน Facebook ไปพึ่งพา SEO ของ Google เพียงอย่างเดียวจึงเป็นการฆ่าธุรกิจของพวกเขาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดกรณีอย่างเช่น Google เปลี่ยนอัลกอริทึมทำให้การทำ SEO โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายฟรีหมดไป และนักการตลาดต้องลงโฆษณา AdWords เท่านั้นเพื่อให้เว็บไซต์ของพวกเขาปรากฏต่อสายตาผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เมื่อนั้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประเภทต่างๆได้เป็นอย่างมาก

ฉะนั้นจงมอง Facebook, Google+, Instagram และ Twitter ให้เป็นเครื่องมือที่ต่างกันไป ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์กใดแทนที่กันได้ แต่ให้ลงทุนบนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่กลุ่มเป้าหมายของนักการตลาดกลุ่มนั้นใช้งานมากที่สุด อย่างเช่น กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นั้นใช้งาน Pinterest มากกว่า ก็ให้ลงทุน หรือใส่ใจโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมากกว่าที่อื่นๆ

การลงโฆษณาบน Facebook ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าการลงทุนหรือไม่?

การจ่ายเงินเพื่อโปรโมทโพสต์บางรูปแบบก็มีความจำเป็นมากกว่าโพสต์ทั่วไป เพียงแค่นักการตลาดแยกแยะโพสต์ที่เป็นเรื่องทั่วไป กับเรื่องที่มีความโดดเด่นและน่าโปรโมทให้ออก โพสต์ที่นักการตลาดควรจ่ายเงินเพื่อโปรโมทนั้นคือโพสต์ประเภทการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ กิจกรรม หรือเนื้อหาที่ใช้เวลาในการสร้างอย่างยาวนานและคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินโปรโมทเพื่อให้ผู้ใช้คนอื่นๆ ได้เห็นเนื้อหานั้นๆ มากกว่าปกติ

ถ้าหากนักการตลาดกำลังแชร์เนื้อหาที่สามารถคิดผล ROI ได้ในระยะสั้น เช่น การยื่นข้อเสนอ หรือการสร้างรายได้ อาจไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหากเราจะจ่ายเงินเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างยอดขายหรือรายได้ที่มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็อาจได้แฟนๆ ติดตามเพจของเรามากขึ้นด้วย

อย่างเช่นตัวอย่างด้านบนค่าใช้จ่ายในการสร้างรายได้จากลูกค้ารายใหม่นั้นอยู่ที่ 20 – 30 เหรียญสหรัฐฯ (640 – 970 บาทไทย) ซึ่งคิดเป็น 10% จากรายได้ที่จะได้จากลูกค้าแต่ละรายถือว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุน

วิธีการรักษายอด Reach บน Facebook ที่ดีที่สุดคือ?

การโพสต์เนื้อหาที่ได้รับความนิยมซ้ำ สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ได้เป็นอย่างมากส่งผลให้ยอด Reach เพิ่มขึ้นได้ โดยอย่างยิ่งหากโพสต์ในช่วงที่แฟนๆ ออนไลน์อยู่ การโพสต์เนื้อหาให้บ่อยขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างไปก็สามารถสร้าง Brand Awareness ได้ดีเช่นกัน โดยเพจที่โพสต์เนื้อหา 3 ครั้งต่อวันนั้นสามารถจะมียอด Reach ที่สูงกว่าเพจที่โพสต์เนื้อหาเพียง 1 ครั้งต่อวันหรือน้อยกว่านั้น

จากตัวอย่างด้านล่างเพจด้านซ้ายโพสต์เนื้อหา 1 ครั้งต่อวัน แม้จะมียอด Post Reach ที่สูงกว่าเพจด้านขวามือโดย 24% ของแฟนเพจเห็นโพสต์ของเพจนั้น แต่เมื่อรวบรวมยอด Page Reach ต่อเดือนแล้ว เพจด้านขวาที่โพสต์เนื้อหา 2 – 3 ครั้งต่อวันนั้นมียอด Page Reach ที่สูงกว่า แม้จะมี Post Reach ที่ต่ำกว่าก็ตาม โดยทั้งสองเพจนั้นไม่มีเพจใดจ่ายเงินโปรโมทบน Facebook ทั้งหมดที่เห็นเป็น Organic Reach

การรวมเนื้อหาจากแหล่งอื่นๆ นั้นเป็นวิธีที่ถูกและรวดเร็วที่สุดในการแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณภาพ ดึงดูดให้แฟนๆ แชร์ต่อ โดยการมีตัวช่วยในการรวบรวมเนื้อหาต่างๆ จะทำให้คุณสามารถเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจมาเผยแพร่ให้แฟนๆ ของคุณติดตามได้ไม่ยาก

เนื้อหาอีกประเภทที่คุณสามารถแบ่งปันต่อให้แฟนๆ ของคุณได้ติดตามคือ กิจกรรมที่สำคัญของคุณอย่างเช่นการเข้าร่วมงานสัมนา การพูดในงาน หรือการปรากฏตัวบนรายการโทรทัศน์ การแชร์เนื้อหาดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอย่างเต็มที่ การแชร์เนื้อหาเล็กน้อยก่อนใส่ลิงก์ไปยังบล็อกของคุณ อาจทำให้เรื่องนั้นๆ น่าสนใจมากขึ้น

หรือจะลองโพสต์ข้อเท็จจริงที่น่ารู้, การแสดงความเห็นอย่างมืออาชีพ หรือการถามความเห็นเรื่องข่าวใหม่ล่าสุดในวงการของคุณจากบุคคลอื่น ด้วยการพิมพ์ข้อความสั้นๆ ก่อนโพสต์ลิงก์บทความนั้นๆ ก็เป็นวิธีที่ง่าย และได้ผลเช่นกัน

อย่าลืมโพสต์เนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของคุณซ้ำ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อช่วยให้เนื้อหานั้นๆ สามารถเข้าถึงแฟนเพจหน้าใหม่ได้ด้วย อย่างเช่นตัวอย่างจากเพจของ Jon Loomer ที่การนำเนื้อหาเก่ามาโพสต์ซ้ำทำให้เขาสามารถโพสต์เนื้อหาได้ 2-3 ครั้งต่อวัน โดยในภาพนั้เป็นโพสต์ที่เขานำเนื้อหาทึ่เคยโพสต์ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. ปีก่อนมาเผยแพร่อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์แต่ก็ยังได้รับความนิยมจากแฟนเพจที่เข้ามากด Like และ Share เนื้อหานั้นๆ ต่อเช่นเดิม

 

แม้การปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ของ Facebook จะดูน่าหงุดหงิดแต่หากคุณใช้ช่องทางอื่นๆ ให้เกิดประโยชน์คุณจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะยอด Reach นั้นมีผลต่อการทำรีพอร์ตทั้งหมด การเลือกเนื้อหาอย่างชาญฉลาด และการเลือกโปรโมทเนื้อหาที่จะให้ผลตอบแทนอย่างแน่นอนจะทำให้คุณเป็นผู้นำเกม

ที่มา : Social Media Examiner

ภาพ : Onlinewealthpartner