เคยไหม… วันแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น CEO, Founder หรือหัวหน้าทีมใหญ่ ความรู้สึกแรกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่กลับเป็นความหนักอึ้งของ ความโดดเดี่ยว
ลองจินตนาการถึงเรื่องราวของเธอคนหนึ่งที่ชื่อ Samantha และเช้าวันแรกต้องก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ CEO ท่ามกลางฝนที่กำลังตกหนัก บรรยากาศในห้องทำงานเงียบกริบ เมื่อวานเธอยังเป็นผู้บริหารไฟแรงที่มีหัวหน้าคอยชี้แนะ แต่วันนี้ไม่มีใครอยู่เหนือเธอ และไม่มีใครนั่งเคียงข้างเธออีกแล้ว มีเพียงการตัดสินใจที่เธอต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แรงกดดันพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง บอร์ดบริหารต้องการความชัดเจนเรื่องกลยุทธ์ระยะยาว นักลงทุนจี้ให้ลดต้นทุน HR รายงานปัญหาความขัดแย้งในทีม ในขณะที่ฝ่ายปฏิบัติการเตือนว่าสินค้าตัวใหม่อาจพังไม่เป็นท่า
สัญชาตญาณแรกของเธอคือ การควบคุม เธอพยายามทำงานให้หนักขึ้น ลงรายละเอียดทุกเม็ด แต่ยิ่งดิ้น ยิ่งเหมือนปมเชือกที่มัดแน่นขึ้น การตัดสินใจแต่ละอย่างดูย้อนแย้งไปหมด จะลงทุนหรือจะลดงบ? จะรักษาเสถียรภาพหรือจะ Disrupt ตัวเอง? นี่คือกับดักที่ผู้นำส่วนใหญ่ตกลงไปตายน้ำตื้น
แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เมื่อเธอค้นพบโน้ตเก่าที่เคยเขียนไว้ว่า Excellent CEOs don’t try to do everything; they think differently about everything.
ประโยคนี้เปลี่ยนเกมทันที มันไม่ใช่เรื่องของการทำงานหนักขึ้น แต่มันคือเรื่องของ Mindset และนี่คือสิ่งที่เราจะมาเจาะลึกกันในวันนี้กับบทสรุปจากหนังสือ CEO Excellence ของ Carolyn Dewar, Scott Keller และ Vikram Malhotra ที่ถอดรหัสจากบทสัมภาษณ์ผู้นำระดับโลกกว่า 65 คน เพื่อกลั่นออกมาเป็น 6 วิธีคิดที่จะเปลี่ยนคุณจาก คนทำงานหนัก ให้กลายเป็น ตำนาน

ความกล้าที่จะ “กำหนดทิศทาง” ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา
CEO ทั่วไปมักติดกับดักการบริหารจัดการปัจจุบัน แต่ CEO ระดับท็อปคือคนที่กล้าจะ เดิมพัน กับอนาคต แม้ในวันที่ภาพนั้นยังไม่ชัดเจน
ความกล้าในที่นี้ไม่ใช่ความบ้าบิ่น แต่คือการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น เหมือนที่ Ajay Banga อดีต CEO ของ Mastercard ทำ เขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายแค่ว่าจะเอาชนะ Visa หรือคู่แข่งในตลาดบัตรเครดิต แต่เขา Re-frame หรือปรับมุมมองใหม่ทั้งหมดว่าคู่แข่งที่แท้จริงคือ เงินสด
เป้าหมายของ Mastercard จึงกลายเป็นการ Killing Cash หรือกำจัดเงินสดออกจากระบบ นี่คือวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและทรงพลังมากพอที่จะดึงดูดรัฐบาล ร้านค้า และผู้คนนับล้านที่ไม่เคยใช้ Digital Payment ให้ก้าวเข้ามาสู่ Ecosystem ของพวกเขา
หรือกรณีของ Hubert Joly ที่เข้ามากอบกู้ Best Buy เขาไม่ได้คุยเรื่องยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เขาเปลี่ยนบทสนทนาไปสู่การ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนด้วยเทคโนโลยี การเปลี่ยนคำนิยามของ ชัยชนะ แบบนี้แหละ คือจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ทางธุรกิจ
ดังนั้นอย่ารอให้ข้อมูลพร้อม 100% เพราะวันนั้นตลาดอาจวายไปแล้ว ผู้นำที่แท้จริงต้องกล้าจัดสรรทรัพยากร (คน, เงิน, เวลา) ไปสู่จุดที่สร้าง Impact สูงสุด แม้จะต้องรื้อระบบเดิมทิ้งก็ตาม
“วัฒนธรรมองค์กร” คือจุดแข็ง
หลายองค์กรตกม้าตายเพราะมัวแต่บ้าคลั่งตัวเลข KPI หรือ Dashboard สวยหรู โดยมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ คน และ วัฒนธรรมองค์กร
ในมุมมองของ CEO ระดับโลก พวกเขามองว่า Culture ไม่ใช่เรื่องนุ่มนิ่ม แต่มันคือแกนหลัก ที่จะชี้ชะตาว่ากลยุทธ์ที่คุณวางไว้จะเกิดจริงหรือเป็นแค่ฝันกลางวัน เพราะวัฒนธรรมคือสิ่งที่พนักงานทำเมื่อไม่มีใครจับตามอง
การสร้างวัฒนธรรมไม่ใช่การติดป้ายสโลแกนเท่ ๆ ไว้หน้าลิฟต์ แต่มันคือการขับเคลื่อนผ่าน 4 กลไกสำคัญ
- Stories: เรื่องเล่าที่คุณเลือกจะพูดถึงบ่อย ๆ เช่น ชื่นชมคนที่กล้าเสี่ยง หรือชื่นชมคนที่ทำงานข้ามแผนก
- Structures: โครงสร้างองค์กรและ Incentive ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่อยากเห็น
- Role Modeling: การกระทำของผู้นำ เพราะลูกน้องดูสิ่งที่คุณทำ มากกว่าฟังสิ่งที่คุณพูด
- Skills: การติดอาวุธทักษะให้พนักงานมั่นใจที่จะทำตามวัฒนธรรมนั้น
ดูตัวอย่างจาก Greg Case แห่ง Aon ที่สร้างแนวคิด Aon United โดยรื้อระบบไซโลทิ้ง และผูกผลตอบแทนของทุกคนไว้กับผลลัพธ์รวมของบริษัท นี่คือการใช้ Hard Mechanism มาสร้าง Soft Culture ที่แข็งแกร่งจนคู่แข่งต้องหนาว
เลิกเป็น One Man Show แล้วปั้น “Dream Team”
ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน คุณก็แบกโลกทั้งใบไม่ได้ Mindset ที่สามคือการให้ความสำคัญกับ องค์ประกอบทีม
CEO ที่ยอดเยี่ยมจะเลือกคนที่ ใช่ สำหรับภารกิจ ไม่ใช่เลือกคนที่สนิทหรือทำงานด้วยกันมานาน พวกเขามองหาคนที่มีส่วนผสมของความมั่นใจแต่ไม่หยิ่งยโส ทะเยอทะยานแต่รับฟัง และที่สำคัญคือต้องภักดีต่อเป้าหมายองค์กรมากกว่าอาณาจักรของตัวเอง
เมื่อได้คนเก่งมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือสร้าง Operating Rhythm หรือจังหวะการทำงานที่สอดคล้องกัน เลิกประชุมพร่ำเพรื่อ แต่จงสร้างเวทีการตัดสินใจที่มีคุณภาพ ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบอะไร และติดตามผลอย่างจริงจัง ความรับผิดชอบ คือหัวใจสำคัญ หากสัญญาแล้วต้องทำให้ได้ และผลตอบแทนต้องสะท้อนผลงานจริง
ใส่ใจ Stakeholder ด้วย “ความจริงใจ”
หมดยุคที่ CEO จะนั่งสั่งการอยู่บนหอคอยงาช้าง การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า พนักงาน คู่ค้า หรือแม้แต่ภาครัฐ คือกลยุทธ์ความอยู่รอดที่สำคัญที่สุด
กุญแจสำคัญคือ การฟัง ผู้นำต้องลงไปคลุกคลี ฟังเสียงด่าของลูกค้า ฟังความอึดอัดของพนักงาน โดยไม่มี Filter กั้น และที่สำคัญคือต้องมี ความซื่อสัตย์ กล้าที่จะยอมรับความผิดพลาด และสื่อสารอย่างโปร่งใส
จำไว้ว่า องค์กรที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ย่อมฝ่าพายุได้ดีกว่าองค์กรที่โดดเดี่ยว การสร้างความสัมพันธ์ไม่ใช่ภาระ แต่คือการสร้าง แต้มบุญ สะสมไว้ใช้ในยามวิกฤต
หา “เป้าหมาย” กับ “จุดโฟกัส” แล้วทิ้งที่เหลือ
ในโลกที่วุ่นวาย CEO ถูกดึงทิศดึงทางได้ง่ายมาก หากไม่มี Purpose หรือเป้าหมายที่ชัดเจน คุณจะกลายเป็นแค่ผู้นำที่คอยตามแก้ปัญหา แทนที่จะเป็นผู้กำหนดเกม
Mindset สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ Do what only you can do หรือ ทำในสิ่งที่ คุณเท่านั้น ที่ทำได้
นี่คือศิลปะแห่งการตัดใจ เรื่องไหนที่คนอื่นทำแทนได้ จงมอบหมายออกไปให้หมด แล้วเอาพลังงานและเวลาของคุณมาโฟกัสกับเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องใช้ Judgment ของคุณเท่านั้น
การบริหารเวลาของ CEO ระดับโลก ไม่ใช่การวิ่งมาราธอน แต่เหมือนการฝึก Interval Training คือมีช่วงที่โฟกัสงานหนักสลับกับช่วงพักฟื้นฟูพลังงานอย่างตั้งใจ และที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ พวกเขามี To-Be List ควบคู่ไปกับ To-Do List เพื่อเตือนสติตัวเองเสมอว่าวันนี้เราจะเป็นผู้นำแบบไหน
เมื่อกลับมามองที่ Samantha อีกครั้ง… หลายปีผ่านไป บริษัทของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ รายได้พุ่ง พนักงานมีความสุข นวัตกรรมเกิดขึ้นรายวัน ไม่ใช่เพราะเธอมีกลยุทธ์พิสดาร แต่เพราะเธอเปลี่ยน วิธีคิด
เธอเลิกพยายามทำทุกอย่าง แต่หันมาสร้างวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ เธอสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแรง เธอปั้นทีมที่ไว้ใจได้ เธอฟังเสียงรอบข้าง และเธอมีวินัยในการโฟกัสเฉพาะเรื่องสำคัญ
Thumbsup มองว่า คุณไม่ต้องรอให้ได้ตำแหน่ง CEO ถึงจะเริ่มฝึกสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าคุณจะคุมทีม 5 คน หรือ 500 คน หลักการยังคงเหมือนเดิม เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ลองถามตัวเองหน้ากระจกดูว่า… “ถ้าวันนี้เราเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้ เราจะกล้าตัดสินใจทำอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง?”
คำตอบนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่ของคุณก็ได้
อ่านเพิ่มเติม



