วันนี้ชาวโลกจำนวนมากใช้การค้นหาด้วยเสียงทั้งบนโทรศัพท์มือถือ และบนอุปกรณ์เสริมสำหรับบ้านอย่าง Amazon Alexa, Google Home รวมถึงระบบผู้ช่วยอัจฉริยะอื่น ความนิยมของ voice search ที่กำลังขยายตัวทำให้เจ้าของเว็บไซต์ต้องหาทางปรับเนื้อหาให้ระบบค้นหาด้วยเสียงเข้าถึงได้ง่าย แนวทางการปรับเว็บไซต์ให้เอื้อต่อ voice search สามารถแบ่งได้ไม่ต่ำกว่า 10 วิธี
ก่อนจะรู้ว่า 10 วิธีนั้นได้แก่อะไร มืออาชีพทุกคนควรรู้ว่า voice search กำลังทวีความนิยมเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยสถิติจากองค์กร PwC ระบุว่า 65% ของผู้ใช้อายุ 25-49 ปีมีการพูดคุยกับอุปกรณ์ที่เปิดใช้ฟีเจอร์ voice search อย่างน้อยวันละครั้ง
โดยบริษัทวิจัย Narvar พบว่ามากกว่าครึ่ง (51%) ของผู้ที่ซื้อสินค้าด้วยการเอ่ยปากสั่งด้วยเสียง จะใช้เสียงสั่งค้นหาข้อมูลเพื่อวิจัยผลิตภัณฑ์ก่อน
10 เรื่องที่ต้องเตรียมพร้อม
voice search ถูกประเมินว่าเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ เพราะชัดเจนว่าผู้บริโภคจำนวนมากกำลังใช้เสียงเพื่อค้นหาข้อความ ข้อมูลธุรกิจในท้องถิ่น และข้อมูลเพื่อตัดสินใจซื้อ และข้อมูลอื่นอีกมากมาย
1. เขียนเหมือนคำพูด
การค้นหาด้วยเสียงนั้นแตกต่างจากการค้นหาข้อความ เพราะจะมีความคุ้นเคยมากกว่า จำนวนคำที่ใช้เสิร์ชก็จะมากกว่าการค้นหาด้วยข้อความ ดังนั้นหากใครเขียนเนื้อหาบนเว็บในแบบที่ผู้คนมักพูดเมื่อถามคำถาม ก็จะมีโอกาสดีกว่า จุดนี้เว็บไซต์ควรใช้คำหลักหลายคำที่ยาวขึ้น และเป็นประโยคที่สมบูรณ์ซึ่งตอบคำถามเฉพาะทางได้ ที่เห็นได้ชัดคือ “หน้าคำถามที่พบบ่อย” (FAQ) มักจะปรากฏในหน้า 1 ของผลลัพธ์ voice search บน Google ที่เกิดจากการค้นหาด้วยเสียง
2. ตอบคำถามผู้ใช้
ลองค้นหาดูว่ากลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มจะถามอะไร แล้วจงสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามเหล่านั้น ทางที่ดีควรรวบรวมคำถามที่เกี่ยวกับธุรกิจให้ได้มากที่สุด จากนั้นพยายามสุดฝีมือในการตอบทุกคำถามในทุกช่องทางการตลาด
3. เรียนรู้หลักเกณฑ์ voice search ของ Google
เช่นเคย Google จะจัดอันดับหรือให้คะแนนผลการค้นหาด้วยเสียงตามระดับการตอบสนองต่อการค้นหาของผู้ใช้ รวมถึงคุณภาพตามหลักเกณฑ์ด้วย การทำความคุ้นเคยกับหลักเกณฑ์เหล่านี้จะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นและได้มุมมองถึงวิธีที่สามารถทำได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับ voice search ของเว็บไซต์ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะได้รับเลือกไปตอบได้มากขึ้น
4. ตรวจคีย์เวิร์ด
Google keyword planner เป็นเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google ที่นักโฆษณาทั่วโลกเลือกใช้มากที่สุด เครื่องมือนี้จะช่วยแสดงแนวทางหาคีย์เวิร์ด และแนะนำคีย์เวิร์ดโดยอิงจากประวัติการค้นหาด้วยเสียง จุดนี้ควรหมั่นตรวจคีย์เวิร์ดให้บ่อย เพราะข้อเสนอแนะและฟังก์ชั่นเฉพาะอาจจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป
5. วิเคราะห์เว็บ
การเปิดใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บจะช่วยระบุได้ว่าข้อความค้นหา voice search ใดบ้างที่ผู้ใช้จะได้พบกับเว็บไซต์ของเรา ในระบบจะมีเครื่องมือแนะนำแบบอัตโนมัติซึ่งมีให้บริการทั้งที่ Google และ Bing ทำให้ได้เห็นข้อความค้นหาของผู้ใช้ที่หลากหลาย
6. ทำเนื้อหาให้สมบูรณ์
ทั้งใน Google Places, Yelp และบริการไดเรกทอรีอื่น เจ้าของเว็บไซต์ควรแน่ใจว่าได้รวมคีย์เวิร์ดไว้สมบูรณ์แล้วโดยที่ทุกจุดอัปเดทให้ทันสมัย สำหรับในหลายประเทศ หลายครั้งที่ข้อมูลจาก Google Places และ Yelp มักปรากฏขึ้นเป็นลำดับแรกในผลการค้นหาของ Alexa และ Siri
7. ตรวจทาน onsite SEO
หากไม่ตรวจ SEO ให้ดีเพื่อให้แน่ใจว่า SEO ยังใช้การได้ไม่ล้าสมัย ก็อาจไม่ได้รู้ว่าหน้า FAQ หรือคำถามที่พบบ่อยนั้นเกิดหลุดออกจนไม่ได้เชื่อมโยงกับโครงสร้างเว็บไซต์ ปัญหานี้มีโอกาสเกิดขึ้นในเว็บไซต์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นมานานโดยไม่มีการอัปเดท
8. สร้างหน้า FAQ หลายหน้า
แทนที่จะเป็นหน้าคำถามที่พบบ่อยหน้าเดียวแบบมาตรฐาน และหมวดหมู่ประเภท FAQ แบบเป็นกลุ่ม การสร้างเพจหลากหลายเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการบริการลูกค้า การกำหนดราคา และการจัดส่ง รวมถึงคำถามทั่วไปเกี่ยวกับธุรกิจก็ได้ เป็นการเพิ่มโอกาสได้อีกในวงการ voice search
9. เข้าใจเจตนาของผู้ค้นหา
การทำความเข้าใจผู้ใช้ voice search เป็นอีกทางออกที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม เพราะการค้นหาด้วยเสียงเป็นเรื่องของตัวผู้ใช้ล้วนๆ ทั้งในแง่ความตั้งใจ และความท้าทายของผู้ใช้รายนั้น การสร้างเพจและจัดเต็มเนื้อหาที่สะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ voice search คือวิธีที่สำคัญมากเช่นกัน
10. เรียนรู้แอปเสียง
หลายองค์กรวันนี้เริ่มเน้นการติดตามพัฒนาการทักษะของ Alexa หรือ Google Actions รวมถึงอีกหลายค่ายที่พัฒนาแอปพลิเคชันผู้ช่วยอัจฉริยะ แน่นอนว่าแอปที่ดีที่สุดจะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและน่าจดจำ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจนเป็นกรณีศึกษาที่สามารถบอกใบ้แนวทางการเขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีทีเดียว.
ที่มา: : PRDaily